ข้อความต้นฉบับในหน้า
70
เมื่อสิ้นสุดคำอุทิศส่วนกุศล
ฝูงเปรตเหล่านั้นก็หลุดพ้นจากความหิวกระหายและความทุกข์ทรมาน
ที่มีมาตลอดกาลนาน กระแสบุญได้บันดาลให้มีสภาพร่างกายที่ผ่องใสเป็นสุข แต่ก็ยังมิได้มีผ้านุ่งผ้าห่ม
พระพุทธองค์จึงทรงแนะนำให้พระเจ้าพิมพิสารถวายผ้าสบงจีวรแด่พระภิกษุสงฆ์ แล้วอุทิศผลบุญให้แก่
บรรดาหมู่เปรตทั้งหลายอีกครั้ง เมื่ออุทิศแล้วบุญก็บันดาลให้เปรตเหล่านั้นมีเครื่องนุ่งห่ม พร้อมทั้งที่นอนและ
ที่นั่งอันเป็นทิพย์ อีกทั้งวิมานที่ปรากฏอยู่ในอากาศ ในขณะเดียวกันพวกเขาก็พ้นจากอัตภาพของเปรตในทันที
เมื่อพระเจ้าพิมพิสารได้เห็นอานิสงส์ของการให้ทาน และการอุทิศผลบุญแก่บรรดาหมู่เปรตที่เป็นญาติ
ก็เลื่อมใสศรัทธาในการทำทานมากยิ่งขึ้น จึงทรงถวายทานต่ออีก 7 วัน พระบรมศาสดาทรงกล่าวอนุโมทนา
คาถาว่า “การทำบุญเพื่ออุทิศผลบุญแก่เปรตนั้น ชื่อว่าเป็นการบูชาญาติอย่างยิ่ง” ดังนั้นเราจึงต้องทำบุญอุทิศ
หรือ “ส่งบุญ” ให้ผู้ตายอยู่เสมอ ไม่ว่าหมู่ญาติเหล่านั้นจะอยู่ในสุคติหรือทุคติภูมิก็ล้วนแต่จำเป็นต้องใช้บุญทั้งสิ้น
เปรียบได้กับมนุษย์ในโลกที่ต้องอาศัยทรัพย์สินเงินทองในการเลี้ยงชีพนั่นเอง