ข้อความต้นฉบับในหน้า
ที่ได้
พญามารไม่อนุญาตวันให้ใครลุกขึ้นจากความเป็นน่านเป็นทาศของกิจ笑 ไปได้ โดยง่าย แม่แต่พระอรหันต์ผู้ถึงพิบูลสมดั่งดลแล้ว ก็ยังตามรังควานราวีไม่ลดละ นี่เอง
ตัวอย่างความร้ายกาจของพญามาร ผู้พยายามควบคุมใจมนุษย์ด้วยกิเลส อันเป็นข้อสังเกตที่ปรากฏในพระไตรปิฎก ซึ่งจะต้องอาศัยการปฏิบัติธรรมนิสมงค์ ๓ เพื่อปรับไปเห็นด้วยญาณทัสสนะของตนเองกันต่อไป
๒. ใครคือผู้ควบคุมวัฏสงสาร
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เรบบอกไว้ว่า ใครเป็นผู้สร้างวัฏสงสาร ทรงพบแต่เพียงว่า วัฏสงสารมีมายาวนานก่อนที่ทรงตรัสรู้เสียอีก ยิ่งกว่านั้นยิ่งพบว่า ในเวลาใดที่จะมีผู้หลุดพ้นออกจากวัฏสงสาร จะผึ้งแสดงตัวออกมาขัดขวางการบรรลุธรรม ผลนิพพาน ในทันที นั่นคือ “พญามาร”
ในพระไตรปิฎกมันดับกเรื่องพญามารอยู่หลายแห่ง ซึ่งสรุปได้ว่าพญามารปรากฏตัวให้เห็นอยู่ ๕ วาระ คือ
วาระแรก ก่อนการตรัสรู้ธรรม มารปรากฏตัวเพื่อขัดจังหวะการตรัสรู้ธรรมของพระโพธิสัตว์ โดยใช้ฐานสังริพ ตั้งแต่ใช้สิทธิมูจิ ใช้การทวงสิทธิ์ และใช้กลายอำนาจที่ได้กล่าวมาแล้ว
วาระที่สอง หลังการตรัสรู้ธรรม มารปรากฏตัวเพื่อขอให้พรสัมมาสัมพุทธเจ้าเลือดดับบันธปริพพาน
เรื่องนี้มีหลักฐานปรากฏในมหาปริวรรตวุตรวิภัสด์ เป็นเหตุการณ์เกิดขึ้นในสัปดาห์ที่ ๕ หลังการตรัสรู้ธรรม พระพุทธองค์ทรงเล่าเรื่องนี้กับพระอานนท์ว่า มารเข้าไปหาพระองค์ แล้วกล่าวว่า “ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าปริพพาน” แต่พระองค์ก็ตรัสตอบมาด้วยมีสาระสำคัญว่า “ตรวจไดทั่วพระพุทธศาสนายังไม่เป็นปิกแผนแพร่หลาย กว้างไกล เหลาทวดและมนุษย์ยังไม่เชียชาญในการประกาศพระศาสนา ก็จะยังไม่ปรินิพพาน” เมื่ได้ฟังพระดำรัสตอบเช่นนั้นแล้ว มารก็จากไปด้วยความคิดว่า พระพุทธดำรัสครั้งนั้น คือการให้สัญญาของพระพุทธองค์ แต่ทว่าในระหว่างที่พระองค์ทรงทำงานเผยแพร่พระศาสนา เพื่อพาชาวโลก แหกออกจากวัฏสงสารนั้น มาริยงตามรังควานขัดขวางทั้งพระองค์และทีมงาน คือ เหล่าพระอรหันต์ (ภิกษุผู้สามารถแหกกฎวัฏสงสารตามคำสอนของพระพุทธ-องศได้สำเร็จแล้ว) อยู่กิริยาถาง เช่น นำวัตรกรรมมาในดีนตรีตอพระพุทธองค์ สมัยเป็นพระโพธิสัตว์ตามเล่นงานพระองค์บ้าง แล้วเข้าไปอยู่ในท้องพระเมศา-