ข้อความต้นฉบับในหน้า
อยู่แบบไม่เป็นอะไร ต้องอยู่แบบชอบเชื่ออย่างที่เรียกกันติดปากว่า ต้องสมถะคิดนั้น ๆ ไม่ใช่ของปัจจัย อะไรเลย แต่ความสันโดษทำให้เราอิทธิในสิ่งที่ได้มา ไม่ว่าจะมากหรือน้อย หรือเด่อย่างไรก็เน่น ทั้งสิ่งใดก็เกิดความสบายแก่ตน กินดีต่อสิ่งนั้น สิ่งใดสมควรแก่ตน กินดีต่อสิ่งนั้น ซึ่งสิ่งใดฉะนั่นแตกต่างกับความมักน้อย เพราะฉะนั้นจะไม่มีการจำกัดว่ามากน้อยแค่ไหน แต่ให้ดีในสิ่งที่ได้มา และเมื่อกินฉะนั้นแล้ว ก็ไม่จำเป็นจะต้องไปวอด ๆ องคุณความดีว่าตนเป็นผู้ดีฉะนั้น เพราะการกระทำเช่นนั้นกลับกลายเป็นการถ่อ ตัว มีมะ หรือบางครั้งก็เป็นฉะนั่นแบบบุทธา คือ ทำว่าเป็นผู้ดีฉะนั้น มันน้อย ไม่ปราณจากจะส่งของใด ๆ เพื่อทำให้ทายนิยมเสริมคุณ และคิดว่า ถ้าเครื่องไทยธรรมมาถวายพระภิญญูนี้ จะได้บุญมาก ความฉะนั่นเป็นการฉะนั่นที่ทำให้โลกเผยขึ้น เพราะว่ามันฉะนั่นเอง พระสัมมาสัมพุทธเจ้านรงสรรเสริญความฉะนั่นไว้ว่า “ความฉะนโดยเป็นทรัพย์อย่างยิ่ง” หมายความว่า ความยินดีด้วยของของตนเองเป็นทรัพย์อันประเสริฐ เพราะเป็นเหตุให้เกิดความสุขความเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป ส่วนความไม่ยินดีกับของของตนนั้น เป็นเหตุให้เกิดความเดือดร้อนเสียหายหรือเสื่อมทรามอย่างยิ่ง ดังเช่นพระเทวทัตขาดความฉะน โดยรู้จักประมาณตนว่ายังไม่ได้บรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลเลย เมื่อเห็นพระอรหันตสาวก รูปอื่นได้รับความเคารพลำลึกมากกว่าตน ก็เกิดความริษยาเร่าร้อนใจ ทำให้หลงลืมการบำเพ็ญบุญคุณ กลับไปทะเยอทะยานหวังให้ผู้อื่นมาเคารพบูชาการะเกษกระกะ มาก ๆ เฝ้าคิดวางแผนการร้ายต่าง ๆ จนต้องก่อกรรมทำเจ็บถึงกับถูกธรรวื่นสูบนในที่สุด ก็เพราะขาดฉะน themselves ความฉะนโดยคุณมากแก่ผู้คนในสังคมที่มีค่ามิอันในการให้ความสำคัญกับปลื้มอกที่แสดงให้เห็นผ่านทางวัตถุมากกว่าการยอมรับในคุณค่าของตัวตนที่แท้จริงของกันและกัน ปัญหาในสังคมแห่งนั้น ย่อผิดหยุดดูแคลนกันและกันจะไม่เกิดขึ้นเลยหากเราฝึกที่จะมีความฉะน และเมื่อมีความฉะน ชีวิตก็จะมีความสุขในแบบที่เราเป็นได้