ข้อความต้นฉบับในหน้า
ความสัมพันธ์ระหว่างศิลาจารึกในภาพนี้ในภาษาไทย
เรียบเรียงและแปลเป็นภาษาบาลีรวมพระพุทธศาสนาที่ 10^34 แต่ผลจากการวิจัยนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เนื้อหาในอรรถกถาดกนั้นมีส่วนที่เกิดขึ้นก่อนการสร้างภาพสลักหินที่ปรากฏ กล่าวคือ เกิดขึ้นก่อนพุทธศตวรรษที่ 3^35 การนำหลักฐานจากภาพสลักหิน ซึ่งเป็นหลักฐานที่มีอายุการสร้างค่อนข้างชัดเจน มาช่วยในการกระบวนอายุการเกิดขึ้นของเนื้อหาในคัมภีร์ เป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพและมีความน่าเชื่อถือสูง
(เชิงอรรถต่อจากหน้า 190)
หรือ “โบราณอรรถกถา” ที่ปรากฏในเนื้อหาของอรรถกถาฉบับนี้ซึ่งมักอยู่ในปัจจุบันนี้ซึ่งจวนโดยพระพุทธโฆษาจารย์ (Mori 1984) ซึ่งจากงานวิจัยนี้ทำให้เห็นอรรถกถาที่เชื่ออยู่ในปัจจุบันนี้ซึ่งเป็นของความเก่าแก่ในตัวจากนั้น Norihisa Baba ได้ขยายขอบเขตการวิจัยออกไปโดยการศึกษา เปรียบเทียบแนวคิดที่ปรากฏในอรรถกถากับหลักคำสอนที่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกทั้งของเถรวาทและนิกายอื่น ๆ รวมถึงมิวตุติ-มัจฉะ (Vimutti-magga) วิสุทธิมรรค (Visuddhimagga) และคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง (Baba 2008) ซึ่งงานวิจัยนี้ทำให้เห็นถึงสิ่งที่เป็นแนวคิดของพระพุทธโฆษาจารย์ในอรรถกถากับในปัจจุบันและสิ่งที่เป็นแนวคิดของอรรถกถาจารย์ผู้จําแนบอรรถกถา
34 พระพุทธโฆษาจารย์ได้จนอรรถกถาพระไตรปิฎก 4 นิกาย ได้แก่ อوثฐกาญของทิมินิกาย มัชฌิมนิกาย สังคุตตนิกาย และอัญฎตรนิกาย ในช่วง ค.ศ. 430-435 โดยอาศัยเนื้อหาจากอรรถกถาภาษาสิงหลหลายฉบับ นำมาเรียบเรียงและแปลเป็นภาษาบาลี (Mori 1984: 552) สำหรับอรรถกถาบับอื่นๆ นอกจากนี้อาจมีผลงานของพระพุทธโฆษาจารย์และพระอรรถกถาจารย์รุ่นถัดมาก็ตาม แต่ระยะเวลาคงไม่ผันจากนี้มานัก จึงอาจกล่าวได้ว่าอรรถกถาบาลีที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้ซึ่งนับตั้งแต่พระพุทธศตวรรษที่ 10 แต่เนื้อหาที่ปรากฏในนั้นโดยเฉพาะเนื้อหาอรรถกถาภาษาสิงหล หรือโบราณอรรถกถาต้องมีความเก่าแก่กว่ามั้น และหากเชื่อตามจริยธรรมของพระพุทธอรรถกถาภาษาสิงหลหรือโบราณอรรถกถานี้ต้องเกิดขึ้นแล้วตั้งแต่ครั้ง
(เชิงอรรถอ่านต่อหน้า 192)