ข้อความต้นฉบับในหน้า
เหตุการณ์โดยตลอด จึงมีรังให้สร้างหอคอยและผูกแค่แล้วค่อย ๆ นำพญาวานรลงมา จากนั้นรับสั่งให้นำผ้ามาคลุมให้แก่พญาวานร (pitthiyam kāsāvavattham pattharāpetvā) จึงเป็นที่มาของภาพเหตุการณ์ที่ 2 ที่มีชาย 2 คนอื้ผ้าอยู่ในตัวเอง (JA III: 370-372) จากกรณีศึกษานี้เป็นตัวอย่างของกลุ่มที่ 2 ซึ่งทำให้เราได้เห็นว่าภาพสลักหินบ้างภาพลำพังเพียง “คาถาชาดก” ก็ไม่อาจอธิบายเนื้อความในภาพสลักหินได้ทั้งหมด ต้องอาศัยเนื้อความที่อยู่ในส่วนของ “อรรถกถา ชาดก” มาประกอบด้วย จึงสามารถอธิบายได้ถึงเนื้อเรื่องในภาพสลักหินได้ทั้งหมด ดังนั้นเมื่อเริ่มต้นสร้าง “ภาพสลักหินเล่าเรื่องชาดก” นอกจากอาศัยเรื่องราวจาก “คาถาชาดก” เป็นบรรทัดฐานแล้ว ในบางภาพสลักหินยังต้องอาศัยเรื่องราวจาก “อรรถกถา ชาดก” เป็นบรรทัดฐานในกลุ่มนี้ นอกจากกรณีศึกษาดังกล่าว ยังมีปรากฏในภาพสลักหินดังเช่น A.l a.6 Chadamtiya-j (J 514 Chaddanta-J), A.l a.9 Hamsa-j (J 32 Nacca-j) เป็นต้น และนั่นหมายความว่าเนื้อหาใน “อรรถกถาชาดก” มีส่วนที่มีความเก่าแก่กว่ “ภาพสลักหินเล่าเรื่องชาดก” ซึ่งถูกสร้างขึ้นรวดพุทธศตวรรษที่ 3 หรือ 2 ศตวรรษก่อนคริสต์ศตวรรษอรรถกถาในภาษาบาลี่ที่เราใช้ในปัจจุบันนี้ เกิดขึ้นจากการจ้านของพระพุทธโฆษาจารย์และพระอรรถกถาจารย์รุ่นถัดมา โดยอาศัยเนื้อหาจากอรรถกถาชิงหลหลายฉบับที่เรียกว่า “โบราณอรรถกถา” อาทิมหาวรรถากมหาปัจฉิมอรรถกถา กุฎีทืออรรถกถา เป็นต้น33 นำมา
33 เรื่องของความเก่าแก่ใหม่ของอรรถกถาพระไตรปิฎกที่ใช้ในปัจจุบัน Sodo Mori ได้เริ่มต้นโดยการสืบค้นข้อความที่มีการอ้างอิงถึง “อรรถกถาชั้นเก่า”
(เชิงอรรถอ่านต่อหน้า 191)