ข้อความต้นฉบับในหน้า
ธรรมฉัตร วรรณวัฒนาวาทพระพุทธศาสนา
ปีที่ 7 ฉบับที่ 12 (ฉบับระวังที่ 12) ปี 2564
นี้แล้ว ก็เกิดความปลาบปลื้มดี และเมื่อยิได้สวดสายายเองด้วย
แล้ว ก็ยิ่งทำให้ใจสงบมากขึ้น"
นักศึกษา : จะว่าไปแล้ว ตอนที่ผมได้มีโอกาสสวดดอกพระสูตร
ในครั้งนั้น จำได้ว่าใจของผมสงบอย่างบอกไม่ถูก นั้นก็แสดงว่า “ผมได้
เคยพบพระพุทธเจ้าแล้วในอดีต” ใช่ไหมครับ ?
อาจารย์ : ถ้าเราพูดบนพื้นฐานของ “ปรัชญาปฏิมาตุสูตร” ก็อง
เป็นเช่นนั้น คุณได้เป็นพระโพธิสัตว์แล้ว แต่ถ้าเราพูดถึงหลักคำสอนใน
“พระพุทธศาสนาของพระคายมุนี” เราจะพบว่ามีแนวคิดที่แตกต่าง
กัน กล่าวคือ ไห่วงเรื่องว่่า “เราได้พบพระพุทธเจ้าในอดีตหรือไม่”
ไก่อก่อน เพราะดังที่เคยกล่าวไว้ในบทที่ผ่านมาว่าใน “พระพุทธศาสนาของ
พระคายมุนี” คงไม่มีใครที่จะตั้งความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า
แม้ภารบรรลุธรรม [ขั้นสูงสุด] ของเรา ก็อาจได้เพียง “พระอรหันต์”
ซึ่งเป็นภูกมที่รองลงมาจากพระพุทธเจ้าเท่านั้น
นอกจากนั้น ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง คือ “ปรัชญาปรัชญาตูตร” ได้ให้
แนวคิดใหม่ที่ไม่เคยมีมาในพระพุทธศาสนายุคก่อนหน้านี้ กล่าวคือ
มีแนวคิดว่า “เราได้เป็นพระโพธิสัตว์แล้วในขณะนี้” ข้อเพียงเรา
ส่งสมกุลกรรมในชีวิตประจำวัน นั่นก็จะเป็นพลังหนุนให้เรา
สามารถบรรลุเป็นพระพุทธเจ้าได้ในที่สุด” ซึ่งใน “พระพุทธศาสนาของ
พระคายมุนี” มีแนวคิดว่า หนทางที่จะทำให้บรรลุกรรม [ขั้นสูงสุด] นั้น
มีอยู่เพียงหนทางเดียว นั้นคือ “การออกบวชและตั้งใจประพฤกษไสให้
หมดสิ้นไป” เราจึงเห็นได้ว่า แนวคิดในเรื่องการบรรลุธรรมใน “ปรัชญา-
ปฏิมาตุสูตร” กับ “พระพุทธศาสนาของพระคายมุนี” นั้นมีความ