ข้อความต้นฉบับในหน้า
๑๐๖
ข้อคิดรอบตัว
เรื่อง : พระมหาสมชาย ฐานวุฑโฒ (M.D., Ph.D.) จากรายการข้อคิดรอบตัว ออกอากาศทางช่อง DMC
outrym
การบวช ทางแห่งความภูมิใจ
การบวชในปัจจุบันแตกต่างจากการ
บวชในอดีตอย่างไรบ้าง
การบวชแบ่งเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ ๓
เลย เมื่อพระองค์รับสั่งให้ไปหาผ้าไตรจีวร เสียชีวิต
ไปก่อนบวชก็ยังมี
ยุคต่อมา เริ่มมีพระภิกษุมากขึ้น พระองค์ก็
ประเภท คือเริ่มต้นในระยะแรก ผู้บวชจะต้องบวช รับสั่งให้พระภิกษุออกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาใน
กับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น การบวชแบบนี้เรียก
ว่า เอหิภิกขุอุปสัมปทา คือใครขอบวชก็ไปกราบทูล
พระพุทธเจ้าว่า มีศรัทธาเกิดขึ้นในพระรัตนตรัย
ต้องการจะอุปสมบท พระพุทธเจ้าก็จะเหยียดพระหัตถ์
ออกมาแล้วตรัสว่า “เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรม
อันเรากล่าวดีแล้ว เธอจงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อ
กระทำให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบเถิด” แค่นี้เอง
แต่ถ้าคนที่จะบวชเป็นพระอรหันต์แล้ว พระองค์ก็จะ
ตรัสสั้น ๆ ว่า “เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด” โดยไม่ต้อง
บอกว่ากระทำให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบ เพราะว่า
ถึงที่สุดแห่งทุกข์เรียบร้อยแล้ว พอสิ้นพระดำรัส ชุด
แต่งกายฆราวาสก็จะหายไป มีผ้าไตรจีวรลอยมาจาก
นภากาศมาคลุมตัวเลย มีบาตรคล้องเสร็จสรรพ
พร้อมทั้งอัฐบริขารที่เกิดขึ้นด้วยอำนาจแห่งบุญ
ก่อนที่พระองค์จะประทานการบวช พระองค์
จะระลึกชาติไปดูว่า บุคคลนี้ ภพในอดีตเคยทำบุญ
ด้วยผ้าไตรจีวรหรือเปล่า ถ้าเคยจึงจะประทานการ
บวชให้ แล้วบาตรและจีวรก็จะเกิดขึ้นด้วยฤทธิ์ สวม
ได้พอดิบพอดี แม้บวชใหม่วันนั้นก็ดูสงบเสงี่ยม
สง่างามเหมือนพระเถระที่บวชมาตั้งร้อยพรรษา
แต่ถ้าคนนั้นไม่เคยให้ทานด้วยผ้าไตรจีวร ไม่
เคยทอดผ้าป่า ไม่เคยทอดกฐิน พระองค์จะรับสั่งให้
ไปหาผ้าไตรจีวรมาก่อน แล้วถึงจะบวชให้ มีบางท่าน
เป็นพระอรหันต์แล้ว แต่ไม่เคยทำบุญด้วยผ้าไตรจีวร
ที่ต่าง ๆ เมื่อมีคนเกิดศรัทธาต้องการขอบวช ก็ต้อง
ดั้นด้นตามหาพระพุทธเจ้าซึ่งไม่ได้ประทับอยู่ที่วัดใด
วัดหนึ่ง แต่ทรงจาริกไปเรื่อย ๆ ทำให้ไม่ค่อยสะดวก
พระองค์เลยทรงอนุญาตการบวชประเภทที่ ๒ เรียก
ว่า ติสรณคมนูปสัมปทา เป็นการขอถึงไตรสรณคมน์
พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ กล่าว ๓ จบ ก็สามารถ
บวชเป็นพระภิกษุได้ คือพระภิกษุเพียงรูปเดียวก็
สามารถอนุญาตให้กุลบุตรที่มีความศรัทธาบวชได้
นี้คือการบวชในยุคที่ 1
๒
ต่อมาคณะสงฆ์เพิ่มจำนวนมากขึ้นอีก พระองค์
จึงทรงอนุญาตให้มีการบวชแบบ ญัตติจตุตถกัมมอุป
สัมปทา เพื่อให้เกิดความรัดกุมมากขึ้น และใช้มา
จนกระทั่งถึงปัจจุบัน คือใครต้องการบวชก็ต้องขอ
อนุญาตจากคณะสงฆ์ ในยุคแรก ๆ ถ้าไปขออนุญาต
จากพระภิกษุที่เป็นพระอรหันต์ ท่านก็สามารถ
ตัดสินได้ว่าใครเหมาะหรือไม่เหมาะที่จะบวช แต่
ยุคต่อมามีพระภิกษุที่ยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์มาก
ขึ้น ถ้าท่านอนุญาตเพียงคนเดียวก็จะเกิดความเสี่ยง
ว่าวินิจฉัยถูกต้องหรือเปล่า พระองค์จึงทรงมอบ
ความเป็นใหญ่ให้หมู่สงฆ์ ถ้าใครจะบวชต้องไปบวช
กับพระอุปัชฌาย์ ซึ่งเป็นพระที่บวชมาแล้วอย่างน้อย
๑๐ พรรษา และต้องบวชในท่ามกลางสงฆ์อย่างน้อย
รูป ขึ้นไป แล้วมติจะต้องเป็นเอกฉันท์ว่าควร
๑๐