ข้อความต้นฉบับในหน้า
ถ้ามองในแง่ของการบริหารจะเห็นว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้นำที่วางหลัก
การบริหารคณะสงฆ์อย่างยอดเยี่ยม มีการปรับองค์กรพุทธ คือ คณะสงฆ์เป็นระยะ ๆ
ตามสภาวะที่เปลี่ยนแปลงไป
ให้บุคคลคนนี้บวช โดยมีพระคู่สวดเสนอญัตติใน
ท่ามกลางสงฆ์ว่า บุคคลชื่อนี้มีความประสงค์จะ
ขอบวช สงฆ์เห็นชอบไหม ตั้งญัตติขึ้นมาครั้งหนึ่ง
ก่อน หลังจากนั้นก็สอบถามความเห็นอีก
๓ รอบ
รวมแล้วเป็น ๔ ครั้ง เสนอญัตติ ๑ ครั้ง แล้ว
พิจารณาอีก ๓ วาระ ถ้าทั้ง ๓ วาระผ่านเป็นเอกฉันท์
บุคคลนั้นก็จะได้เป็นพระภิกษุ ถ้าระหว่างการบวช
มีพระรูปใดรูปหนึ่งบอกว่าไม่เหมาะ การบวชก็ไม่
สำเร็จ ปัจจุบันที่โหวตเสียงในสภา
ล้าหลัง จริง ๆ แล้ว ในพระพุทธศาสนามีระบบนี้
เกิดขึ้นก่อน น่าอัศจรรย์
๑๐
๓ วาระ ยัง
ต่อมาในบางท้องที่หาพระมาประชุมกันทีเดียว
รูป ได้ยาก พระพุทธองค์จึงทรงบัญญัติว่าใน
ประเทศที่พระพุทธศาสนาปักหลักมั่นคงแล้วต้องมี
พระ ๑๐ รูปขึ้นไป ซึ่งในปัจจุบันเรามักจะใช้ ๒๐
รูป เผื่อเหลือเผื่อขาด แต่ถ้าเป็นที่ที่มีพระน้อย เช่น
ต่างประเทศ อย่างน้อยต้องมีพระ ๕ รูปขึ้นไป นี่
คือการบวชแบบที่ ๓ ส่วนการบวชแบบที่ ๒ ที่ขอ
ถึงไตรสรณคมน์ ในปัจจุบันใช้เป็นพิธีบรรพชา
สามเณร
ถ้ามองในแง่ของการบริหาร จะเห็นว่า พระ
สัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้นำที่วางหลักการบริหาร
คณะสงฆ์อย่างยอดเยี่ยม มีการปรับองค์กรพุทธ คือ
คณะสงฆ์เป็นระยะ ๆ ตามสภาวะที่เปลี่ยนแปลงไป
ยุคแรกพระน้อย ทุกอย่างรวมศูนย์ที่พระองค์ ต่อมา
คณะสงฆ์ใหญ่ขึ้นก็ทรงกระจายอำนาจให้แต่ละท่าน
มีอำนาจในการรับสมาชิกใหม่เข้าหมู่ แต่ต่อมา
หมู่คณะเข้มแข็งขึ้นอีก เพื่อให้เกิดความรัดกุมและ
เป็นการวางมาตรฐานหลังจากเสด็จดับขันธปรินิพพาน
ไปแล้ว จึงไม่ให้ตัดสินใจโดยบุคคลคนเดียว แต่ให้
อาศัยหมู่คณะ ซึ่งเป็นมาตรฐานในการปฏิบัติของ
คณะสงฆ์ในการรับสมาชิกใหม่เข้าหมู่ที่ยอดเยี่ยมมาก
ถ้าหากนักบริหารทั้งหลายอยากจะศึกษาวิธีบริหาร
องค์กร ให้มาศึกษาวิธีการที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรง
ใช้ในการบริหารจัดการคณะสงฆ์ โดยเฉพาะจาก
พระวินัย จะพบวิธีการที่ยอดเยี่ยมมากมาย สามารถ
มาปรับใช้ในปัจจุบันได้อย่างดีเยี่ยม นี้เป็นพระ
ปัญญาธิคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประการหนึ่ง
ถ้ามีลูกชายบวช พ่อแม่จะเกาะชายผ้า
เหลืองขึ้นสวรรค์ คำพูดนี้มีกำเนิดมา
จากไหน เมื่อไร
การบวชเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยากเริ่มตั้งแต่ผู้บวช
ต้องเกิดเป็นมนุษย์ ถ้าไม่เป็นมนุษย์บวชไม่ได้ เพราะ
มนุษย์เท่านั้นที่มีกายตั้งตรง สัตว์ประเภทอื่นกาย
ขวางทั้งนั้น แม้แต่สิ่งที่ดูเหมือนบางครั้งจะผงกตัว
ตั้งตรงได้ แต่โดยธรรมชาติกระดูกสันหลังจะเฉียง ๆ
พอเป็นอย่างนี้แล้วไม่สามารถปฏิบัติธรรมให้บรรลุ
ธรรมภายในได้ มีแต่กายที่ตั้งตรงจึงจะหาศูนย์กลาง
กายเจอ และสามารถปฏิบัติธรรมจนหมดกิเลสได้
ดังนั้นจะบวชได้ต้องได้กายมนุษย์ก่อน แม้เป็นสัตว์
อื่นที่มีฤทธิ์แปลงกายเป็นมนุษย์ได้ก็ยังบวชไม่ได้
ดังเช่นพญานาคที่อยากจะบวชแปลงกายมาขอบวช
ก็บวชไม่ได้ เพราะฉะนั้นก่อนจะบวช พระคู่สวดจะ
ต้องถามในท่ามกลางประชุมสงฆ์ก่อนว่า เธอเป็น
มนุษย์ใช่ไหม ผู้ขอบวชจะต้องตอบว่า อามะ ภันเต
แปลว่า ใช่
นอกจากต้องเป็นมนุษย์แล้ว จะต้องเกิดมาพบ
พระพุทธศาสนาด้วย ไม่พบพระพุทธศาสนาบวชไม่
ได้ ไม่มีอุปัชฌาย์บวชไม่ได้ พบพระพุทธศาสนา
แล้วก็ต้องเกิดศรัทธา ญาติพี่น้องให้ความเห็นชอบ
พ่อแม่ให้ความเห็นชอบ กว่าจะบวชได้ไม่ใช่ของง่าย