ข้อความต้นฉบับในหน้า
ทอด ๆ เช่นนี้ ก็เกิดความสงสัยขึ้นมาในใจ จึงทูล
ถามพระราชาว่า “ข้าแต่สมมุติเทพ เพราะเหตุใด
เมื่อพระองค์รับอาหารมีรสเลิศแล้ว จึงไม่ทรงเสวยเอง
แต่กลับพระราชทานแก่ปุโรหิตเล่า” พระราชาตรัส
ตอบว่า “พราหมณ์เป็นอาจารย์ของฉัน เป็นผู้คอย
ตักเตือนฉันอยู่เป็นประจำ ดังนั้นจึงควรให้โภชนะนี้
แด่ท่านอาจารย์” เศรษฐีถามพราหมณ์ต่อว่า “เมื่อ
พระราชาพระราชทานอาหารรสเลิศ ทำไมท่านจึง
นำไปถวายดาบสเล่า” ปุโรหิตตอบว่า “ข้าพเจ้ายัง
กำหนัดอยู่ยังเป็นผู้ครองเรือน ต้องเลี้ยงดูบุตรภรรยา
ข้าพเจ้าควรถวายโภชนะแด่ท่านฤาษีผู้รุ่งเรืองด้วย
ตบะ อบรมตนมาดีแล้ว”
กุฎมพี่จึงถามท่านฤาษีต่อไปว่า “ท่านฤาษีผู้
ซูบผอม ผู้สะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น ท่านอยู่ในป่าผู้เดียว
ไม่มีความห่วงใยในชีวิต ภิกษุที่ท่านถวายโภชนาหาร
นั้นดีกว่าท่านอย่างไร เพราะเหตุใดท่านจึงไม่ฉัน
เสียเองเล่า” พระดาบสตอบว่า “อาตมภาพยังขุด
เผือกและมันมาบริโภค และยังมีความยึดมั่นถือมั่น
เมื่ออาตมายังมีการหุงต้มอยู่ ก็ควรถวายโภชนะนั้น
แก่ท่านผู้ไม่มีการหุงต้ม เมื่ออาตมภาพยังมีความ
กังวลและความถือมั่นอยู่ ก็ควรถวายโภชนะนั้นแก่
ท่านผู้ไม่มีความกังวลและความถือมั่น”
กุฎมพี่ถามพระปัจเจกพุทธเจ้าต่อไปว่า
“พระคุณเจ้าผู้เจริญ ท่านฤาษีถวายอาหารอันเลิศ
แด่ท่าน เมื่อท่านรับแล้วก็นั่งฉันเพียงลำพัง ขอ
นมัสการถามพระคุณเจ้าว่า อะไรเป็นธรรมอัน
ประเสริฐในตัวท่าน” พระปัจเจกพุทธเจ้ากล่าวว่า
"อาตมาไม่ได้หุงต้มเอง ไม่ได้ใช้ให้ใครหุงต้ม ท่าน
ฤๅษีรู้ว่าเราเป็นผู้ไม่มีความกังวล เป็นผู้ห่างไกล
จากบาปทั้งหลาย จึงถวายภัตตาหารที่มีรสเลิศนี้
แก่เรา บุคคลเหล่านี้ยังมีความห่วงใยและถือมั่น
จึงให้ทานแก่เรา ผู้ไม่มีความถือมั่นในสังขารทั้งปวง”
กุฎมพี่ฟังแล้วรู้สึกดีใจมาก ถึงกับเปล่งอุทานว่า “วันนี้
พระราชาเสด็จมาเพื่อประโยชน์ของเราหนอ ข้าพเจ้า
เพิ่งทราบชัดวันนี้เองว่า ทานที่ให้ในท่านผู้ใดแล้ว
จักมีผลมาก”