ข้อความต้นฉบับในหน้า
มีความจริงเกี่ยวกับเวลาที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าจะชอบใจหรือไม่ก็ตามอยู่บ่อยๆ ประการ คือ
๑) เวลาผ่านไปแล้วอ่อนผ่านเลย แม้เรื่องนี้จะเป็นความจริงที่ทุกคนทราบดี แต่กลับไม่ค่อยมีใครสังเกต ว่าเวลาทุกนาทีที่บ่งบอกคนผ่านไปส่งผลกระทบอะไรบ้างชีวิตของเราบ้าง
๒) เวลานำวัยอันสดใสและความแข็งแรงไป เมื่อเวลาผ่านไป อายุหรือวัยของแต่ละคนก็เพิ่มมากขึ้นไปตามลำดับ แต่มาสังคตไม่เห็น เนื่องจากความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ เป็นไปอย่างช้าๆ ซึ่งในทางพระพุทธ-ศาสนาเรียกว่า “สิ้นตติ” คือ การสิ้นต่อ หรือการเกิดต่อเนื่องกันไปยกตัวอย่างที่เห็นได้เป็นปกติ เช่น เมื่ผมเส้นหนึ่งหลุดร่วงไป ก็ผมเส้นใหม่เกิดขึ้นมาแทน หรือเมื่อเซลล์ผิวหนังหลุดออกไป ก็เกิดเซลล์ใหม่ขึ้นมาแทน เป็นต้น ด้วยลักษณะความสิ้นต่อเนื่องเช่นนี้ ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับตนเอง แต่เมื่อเวลา ผ่านไปนานหลาย ๆ ปี จึงสังเกตเห็นว่า วัยรานเปลี่ยนแปลงไป จากวัยทรามาวเป็นเด็กเล็ก จากเด็กเล็กมาเป็นเด็กโต จากเด็กโตเข้าสู่วัยรุ่น จากวัยรุ่นเข้าสู่วัยทำงาน จากวัยทำงานเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ จากวัยผู้ใหญ่เข้าสู่วัยชรา ซึ่งกว่าจะรู้ตัวว่าตนเองเปลี่ยนไป เวลาที่ผ่านไปหลายปีพร้อมกันกับที่ความสมบูรณ์แข็งแรงของร่างกายเริ่มเสื่อมถอยลง
๓) เวลานำความชรามาให้ ความอารามหมายถึง ความเก๋าของร่างกาย ความคงกระด่า ความเสื่อมของอายุ เมื่อความชรามาถึง คนส่วนใหญ่มักเริ่มรู้สึกได้จากความเปลี่ยนแปลงทางสิริรา และความแข็งแรงที่ลดน้อยถอยลงอย่างชัดเจน แต่แม้อย่างนั้นก็ยังมีคนที่หย่อนกลับมาพิจารณาว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมานา ตนเองได้สั่งสมบุญบารมี มากน้อยเพียงใด หรือเป็นไปเพื่อการบรรลุเป้าหมายของชีวิตหรือไม่
๔) เวลานำโอกาสดี ๆ ของชีวิตให้ล่วงเลยผ่านไป เพราะเวลาที่เหมาะสมและดีที่สุดที่จะสร้างบุญบารมีได้ คือเมื่ออยู่ในสายหนุ่มสาว อันสดใส ซึ่งมีมากอันสมบูรณ์แข็งแรง แต่ผู้คนจำนวนมากกลับใช้วันเวลาในระยะนี้ไปกับเรื่องที่ไม่เป็นสาระ เท่านั้นจะรับบถไหนสวายสร้างบุญกุศลให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป บางคนถึงกับมีความเห็นผิดไปกว่า ควรรอให้แก่ก่อนจิ๋งค่อยเข้าวัดสร้างบุญบารมี ซึ่งหลายคนไม่มีโอกาสมีชีวิตจนถึงตอนนั้น หรือหากถึงไม่มรื้อแรงจะทำอย่างที่คิดไว้ จึงเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย ถ้าปล่อยให้โอกาสดี ของชีวิตลุดลอยไป เพราะความประมาทในชีวิตของตนเอง