ข้อความต้นฉบับในหน้า
๓.๒ เนื้อหาข้อสอนในพระสูตรต่างๆ มีร่องรอยของพัฒนาการคำสอน เช่น ปฏิจจสมุปบาท ที่กล่าวไว้ ๕ ข้อบ่ง ๖ ข้อบ่ง ๗ ข้อบ่ง ๘ ข้อบ่ง ๑๐ ข้อบ่ง ๑๑ ข้อบ่ง ๑๒ ข้อบ่ง แสดงว่าแต่เดิมพระพุทธเจ้าสอนหลักธรรมง่ายๆ ก่อน แล้วคณะสงุญุหลังต่อยอดดัชนีเพิ่มเติมตามลำดับ
๓.๓ รูปแบบการมัดarkanีพระไตรปิฎกเป็น พระวินัย พระสูตร และพระอภิธรรมปิฎก เป็นรูปแบบ ที่เกิดขึ้นภายหลัง ในภายแรมมิพิจารณามิตเทียบกันว่า พระพุทธเจ้ามับคำสอนของพระองค์เป็น องค์ เรียกว่า นวัตศักดิ์ศานต์
๓.๔ หลักธรรมปฏิบัติที่นำไปสู่การตรัสรู้ธรรมมีระดับต่ำกว่านำ เช่น มรรคมัณฑ์ ๘ เป็นหลักปฏิบัติปเริ่มต้น มรรคมัณฑ์ ๑๐ (อธรรม ๑๐) ซึ่งมีเทียบจากมรรคมัณฑ์ ๘ อีก ๓ ข้อ คือ สัมมาวุฒิ ๘ สัมมาอายาน ซึ่งมีคำว่าจอดอยู่มากมายในพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้ามองพากายหลังอยู่จากว่า มรรคมัณฑ์ ๔ ติปริบูรณ์ ๔ เป็นหลักปฏิบัติที่สูงกว่ามรรคมัณฑ์ ๘ และโพชงค์๗ เป็นหลักปฏิบัติที่สูงกว่ามรรคมัณฑ์ ๘
อาจามภาพได้ศึกษาวิจัยประเด็นต่างๆ อย่างละเอียดและด้วยความเป็นกลาง ฉันได้ข้อสรุปว่
๑. ภาษาเป็นบทบาทที่พระพุทธเจ้าทรงใช้ในการตรัสสอน
๒. พระวินัยปกทั้ง ๒๒๑ ข้อบ่ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ทรงบำเพ็ญตนขึ้น
๓. พระสตตปิฎกก่อนทั้งหมดพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ตรัสสอน และพระอรหันต์ ๕๐๐ รูป ในคราวสุดท้ายครั้งที่ ๑ เป็นผู้รวมเรียบเรียง
๔. พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสธรรมทั้งปวงตั้งแต่ดินตร์ธรรม ไม่มีกำข้อง คิดค้นหลักธรรมใหม่ภายหลังเหมือนนิภวิภิวาททา หลักธรรมปฏิบัติทั้งหมด ทั้งมรรคองค์ ๘ โสติยา สติปฎฐาน ๔ โพธิญาณ ๗ ล้วนเป็นแนวทางสายเดียวกันนี้นำไปสู่การตรัสรู้ธรรมทั้งสิ้น เพียงแต่พระองค์ทรงแกล้งในเมฆมมต่างๆ เพื่อให้เหมาะกับผู้ฟัง
กว่าจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนนี้มิ่งจะเลย เพราะต้องนำเสนอหลักฐานที่มามีเหตุผลแก่เความคิดเห็นของนักวิชาการที่มีชื่อเสียงมีความสามารถสูงทั้งชาวตะวันตกและชาวในรอบ ๑๐๐ ปี ผ่านมาจำนวนหลายสิบท่าน บางคราวเจอปะเด็นชียากๆ ก็ใช้อีกัชนข้อมูลทั้งหมดอย่างละเอียด เสร็จแล้วนั่งสมาธิจนจาง หลังจากนั้นก็จารึก ดื่นเข้ามาก็จะได้รับคำตอบดี เช่นเดียวภายใน ช่วยทำงานให้ “หยุดเป็นตัวสำเร็จ” สมาธิพระเดชพระคุณของหลวงปู่ท่านได้กล่าวไว้จริง ๆ รายละเอียดของบทวิจัยเหล่านี้ ท่านที่สนใจได้ติดตามอ่านได้จาก “วารสารธรรมาราม” วารสารวิชาการทางพระพุทธศาสนา จัดทำโดยสำนักการศึกษา วัดพระธรรมกาย