ข้อความต้นฉบับในหน้า
๘๒
ภพชาติใหม่ ก็ต้องเริ่มต้นหาความรู้แบบเดิมซ้ำอีก ชีวิตของผู้คนในโลกนี้ต้องตกอยู่ใน
สภาพการณ์เช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จึงกล่าวได้ว่าแท้ที่จริงแล้วโลกใบนี้ ก็คือ คุกยักษ์ที่กักขัง
สรรพสัตว์ทั้งหลายให้เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารนั่นเอง จะมีสักกี่คนที่รู้ความจริงเรื่องนี้
เพราะเหตุที่ผู้คนส่วนมากไม่รู้ความจริงเรื่องนี้ จึงยอมทนทุกข์ทรมานอยู่ในคุกยักษ์นี้
ชั่วกาลนาน
ปัจจุบันแม้ชาวโลกจะมีความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีก้าวไกลไปกว่ายุคใด ๆ
ในประวัติศาสตร์ก็ตาม แต่ก็ยังอยู่ในระดับของการแก้ปัญหาทุกข์จากการดำรงชีพกับการ
แก้ปัญหาทุกข์จากการอยู่ร่วมกัน ยังไปไม่ถึงการแก้ปัญหาทุกข์จากอำนาจกิเลส นั่นคือยัง
คงเป็นความรู้ที่ไม่สามารถกำจัดกิเลสได้สำเร็จนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาเดียวในโลกเท่านั้น ที่มีคำสอนเรื่องการ
กำจัดทุกข์ครอบคลุมทุกระดับ และเป็นศาสนาเดียวในโลกเท่านั้น ที่มีคำสอนสำหรับการ
กำจัดกิเลสโดยตรง ซึ่งได้แก่คำสอนเรื่องอริยมรรคมีองค์ ๘
พระบรมศาสดาก็ทรงตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยการ
ปฏิบัติอริยมรรคมีองค์ ๘ พระสาวกก็บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์และพระอรหันตเถรีด้วย
การปฏิบัติอริยมรรคมีองค์ ๘ โดยสรุป ก็คือ พระบรมศาสดาและพระอรหันตสาวกทั้งหลาย
ของพระองค์ล้วนดับทุกข์ดับกิเลสได้ด้วยการปฏิบัติอริยมรรคมีองค์ ๘ ทั้งสิ้น
สิ่งที่น่าอัศจรรย์ก็คือ การหมดกิเลสตามคำสอนในพระพุทธศาสนานั้น มิได้ผูกขาด
เฉพาะพระบรมศาสดาเท่านั้น แต่ยังเปิดกว้างสำหรับทุกคนในโลกนี้ให้หมดกิเลสตามได้
เช่นเดียวกัน ซึ่งก็หมายความว่า อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้ เป็นเส้นทางปฏิบัติอันเป็นของกลาง
ของโลก ที่ใคร ๆ ในโลกนี้เมื่อได้ปฏิบัติแล้ว ก็จะสามารถดับทุกข์ดับกิเลสได้เช่นเดียวกับ
พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
ดังมีเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วในสมัยพุทธกาล กล่าวคือ ปริพาชกผู้มีนามว่า สุภัททะ เขา
เป็นนักบวชนอกพระพุทธศาสนา ตลอดชีวิตนักบวชที่ผ่านมา เขาได้แสวงหาคำสอนเรื่อง
การกำจัดทุกข์จากสำนักของลัทธิคำสอนอื่น ๆ นอกพระพุทธศาสนา ตั้งแต่วัยหนุ่มจนเข้า
สู่วัยชราก็ยังไม่พบ
ต่อมาวันหนึ่ง เขาจึงนึกขึ้นได้ว่า ยังเหลือแต่พระบรมศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระองค์เดียวเท่านั้น ที่เขายังไม่ได้ทูลถามถึงเรื่องการดับทุกข์ จึงตัดสินใจรีบเดินทางไป
เข้าเฝ้าพระพุทธองค์ เนื่องจากขณะที่เขาไปถึงนั้นใกล้เวลาที่พระพุทธองค์จะเสด็จดับขันธ
ปรินิพานแล้ว แม้เขาจะขออนุญาตถึง ๓ ครั้ง แต่พระอานนท์ พุทธอุปัฏฐาก ก็ไม่อนุญาต
ให้เข้าเฝ้า
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงได้ยินถ้อยคำเจรจาระหว่างบุคคลทั้งสองชัดเจน ขณะเดียว
กันก็ทรงเห็นอุปนิสัยแห่งการบรรลุอรหัตผลของสุภัททปริพาชก จึงมีพุทธานุญาตให้เขาเข้า
เฝ้า เพื่อทูลถามปัญหาที่สงสัยมาตลอดชีวิต
สุภัททปริพาชกกราบทูลถามว่า “เจ้าลัทธิอื่นทั้งหมด (ในสมัยพุทธกาล) รู้ตามที่ตน