ข้อความต้นฉบับในหน้า
ว่า “ข้าพเจ้าเป็นคนยากจน ที่มานี้ก็จะมาขอตัดงา
ของท่าน ถ้าท่านยอมให้ จะเอางาไปขายเพื่อเลี้ยง
ชีวิต” พระโพธิสัตว์รู้ว่านายพรานเป็นคนใจบาป
หยาบช้า ไม่รู้จักบุญคุณของผู้อื่น แต่หวังเพื่อจะ
สั่งสมบารมีให้แก่รอบ จึงตกลงที่จะให้นายพราน
ตัดเอางาไป แล้วคุกเข่าหมอบลงให้นายพรานเอา
เลื่อยตัดปลายงาทั้งคู่ พญาช้างได้ตั้งมโนปณิธานว่า
“ท่านพราน ใช่ว่าเราจะให้งาคู่นี้ด้วยคิดว่า งาเหล่านี้
ไม่เป็นที่รักของเรา แต่ว่าสัพพัญญุตญาณอันประเสริฐ
เป็นที่รักยิ่งกว่า การสละงาครั้งนี้ ขอจงเป็นไปเพื่อ
การตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในอนาคตกาล
ด้วยเถิด” จากนั้นให้นายพรานตัดเอางาในส่วนปลาย
ทั้งคู่ไป
นายพรานใจบาปแบกงางามคู่นั้นเดินออกจาก
ป่าไปขายให้พวกพ่อค้า แล้วนำเงินไปใช้จ่ายอย่าง
สุรุ่ยสุร่าย ดื่มเหล้าเมายา พอเงินหมดก็เดินทาง
กลับเข้าไปในป่าใหม่ เพื่อขอตัดงาของพญาช้างอีก
นายพรานได้โกหกพญาช้างว่า “งาที่ขายได้ก็เอาเงิน
ไปใช้หนี้หมดแล้ว ที่มานี่จะมาขอเอางาส่วนที่เหลือ
ไปทำทุนต่อ”
พระโพธิสัตว์ก็ตกลงยินยอมให้เขาตัดงาโดย
ไม่มีข้อแม้และเงื่อนไข ซึ่งหากเป็นช้างทั่วไปคงอาจ
เอาเท้ากระทืบพรานจมธรณีไปแล้ว ส่วนนายพราน
เมื่อขายงาและเอาเงินไปซื้อเหล้ากินหมดแล้ว ก็ย้อน
กลับมาขอตัดงาอีกเป็นครั้งที่สาม พระโพธิสัตว์จึง
หมอบลงให้นายพรานตัดตามชอบใจ พรานใจบาป
ปีนขึ้นไปเหยียบงวงช้าง แล้วเอาส้นเท้ากระทืบปลาย
งาทั้งสอง ฉีกเนื้อตรงสนับงาลงมาจากกระพอง เอา
เลื่อยตัดโคนงาอย่างไร้ความปรานี พญาช้างต้อง
เจ็บปวดทุกข์ทรมานปางตาย แต่ก็อดกลั้นไว้ไม่ยอม
ให้ความโกรธเข้าครอบงำ เพราะความโกรธอาจทำให้
ขาดสติถึงขั้นเอางวงรัดนายพรานแล้วฟาดลงกับพื้น
ซึ่งก็จะทำให้เสียศีลไป พญาช้างจึงต้องข่มใจไว้ ด้วย
มีปณิธานว่าจะต้องเป็นพระพุทธเจ้าให้ได้
&