ข้อความต้นฉบับในหน้า
..เช้าใดยังไม่ได้ให้ทาน ไม่ว่าจะเป็นพระในบ้าน หรือพระนอกบ้านก็ตาม
เช้านั้นอย่าเพิ่งกินข้าว หัดเป็นคนรู้จักให้เสียก่อนอย่างนี้ แล้วเราจะไม่เป็น
คนเห็นแก่ได้ นี่ก็เป็นที่มาแห่งความสามัคคีของคนในชาติ
ถ้าไม่เชื่อตื่นเช้าขึ้นมาลองไปเปิดวิทยุหรือ ที่เมื่อสมัยเราเล็กๆ ท่านให้เรากินก่อน ตอนนี้ท่าน
โทรทัศน์ดูก็ได้ แล้วจะพบว่ามีแต่เสียงวิจารณ์
จับผิดคนนั้น จับผิดคนนี้ กันตั้งแต่เช้ามืดทีเดียว
เสียงและภาพที่ได้ยินและได้เห็นนี้ ไม่ค่อย
จะช่วยให้มนุษย์ในปัจจุบันคิดถึงความดีของกัน
และกัน มีแต่จ้องจะจับผิดกัน ก็เลยทำให้ขาด
ความเคารพ ขาดความเกรงใจ จากนั้นการถนอม
น้ำใจกันก็หมดไป แล้วความแตกแยกก็เข้ามาแทนที่
ที่มาแห่งความสามัคคีของคนในชาติ
ปัญหาเหล่านี้ ปู่ย่าตาทวดของเราท่านได้สอน
วิธีแก้ไขเอาไว้ให้แล้ว แต่พวกเราส่วนมากกลับมอง
ว่า เป็นเรื่องเก่า เป็นเรื่องโบราณ เป็นเรื่องคร่ำครึไป
คือ
สิ่งที่ปู่ย่าตาทวดท่านได้สอนแล้วก็ทำให้ดูนั้น
ประการที่ ๑ เพื่อป้องกันไม่ให้มนุษย์คิดแต่
จะเอาประโยชน์เข้าตัวเช่นเดียวกับนกกา เพราะ
ฉะนั้น ตั้งแต่เช้ามืดพอตื่นขึ้นมา แทนที่คิดจะไป
กอบโกยเอาเข้ามา ก็รีบให้เสียก่อนเลย
ท่านพูดไว้ชัดเจนว่า “เช้าใดยังไม่ได้ให้ทาน
เช้านั้นอย่าเพิ่งกินข้าว” แล้วก็รีบไปตักบาตรกับ
พระภิกษุ ที่เดินบิณฑบาตผ่านหน้าบ้าน ซึ่งถือว่า
เป็นพระในวัดเสียก่อน
ส่วนพระในบ้าน ได้แก่ คุณพ่อ คุณแม่ คุณปู่
คุณย่า คุณตา คุณยาย หรือผู้เฒ่าผู้แก่ในบ้านทั้งหลาย
แก่แล้ว เพราะฉะนั้น ก่อนเราจะกินอะไร ก็ควรจัด
ให้ท่านก่อนบ้าง
เช้าใดยังไม่ได้ให้ทาน ไม่ว่าจะเป็นพระในบ้าน
หรือพระนอกบ้านก็ตาม เช้านั้นอย่าเพิ่งกินข้าว
หัดเป็นคนรู้จักให้เสียก่อนอย่างนี้ แล้วเราจะไม่เป็น
คนเห็นแก่ได้ นี่ก็เป็นที่มาแห่งความสามัคคีของ
คนในชาติ ที่ปู่ย่าตาทวดของเราได้สอนเอาไว้
ประการที่ ๑
ประการที่ ๒ เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นคนไม่มีวินัย
ทั้งวันเราต้องพยายามรักษาศีล ๕ ไว้ให้ดี แล้วเรา
จะรู้ว่าในบรรดาศีลทั้ง ๕ ข้อนั้น ศีลข้อที่รักษาได้
ยากที่สุด คือข้อที่ ๔ หรือว่าห้ามพูดโกหกนั่นเอง