ข้อความต้นฉบับในหน้า
66
วันที่ ๔ ขณะนั่งสมาธิอยู่นั้น ราวกับห้องนั้นมีดิฉันนั่งอยู่เพียงลำพัง
ท่ามกลางความมืด พอจิตใจสงบ สบาย นิ่ง ๆ เฉย ๆ เริ่มมีลำแสงพุ่งลงมา
ทะลุผ่านศีรษะไปกลางท้อง วันต่อมาเกิดความเบา โล่ง โปร่ง สบาย เย็นกาย เย็นใจ
แต่ไม่เห็นดวงธรรมและองค์พระ กลับเห็นหน้าหลวงปู่มาปรากฎ
พร้อมกับยิ้มให้ด้วยแววตาที่ดูเมตตาและอบอุ่น
และเกิดอารมณ์ชั่ววูบคว้าไบกอน (ยาฆ่ายุง) กิน
แกล้มเหล้า กระทั่งสติดับวูบไปและรู้สึกตัวลืมตา
อีกที่อยู่โรงพยาบาล พยาบาลแซวว่า “คนไข้เตียง
นี้ยังไม่กัด ไบกอนมาเอง” เธอรู้สึกละอายใจที่ทำ
อะไรโง่เขลาเป็นครั้งที่ ๒ และเพลงชีวิตของเธอยัง
คงบรรเลงต่อไปเรื่อย ๆ
“ปลายปี ๒๕๕๐ ขณะที่ดิฉันนั่งรับประทาน
อาหารอยู่เกิดมีอาการใจหวิวหน้ามืดจนถูกนำส่ง
ห้องฉุกเฉิน อาการแย่ลงเรื่อย ๆ หายใจไม่ได้ทั้งที่
ออกซิเจนยังคาจมูก เหมือนลมหายใจเฮือกสุดท้าย
จะดับวีด ทว่าคงด้วยบุญเก่ามาช่วยไว้ จิตก็พลัน
นึกถึงบารมีแห่งพระรัตนตรัย จึงได้อธิษฐานว่า ถ้า
รอดตายครั้งนี้ไปได้ ชีวิตที่เหลือจะปฏิบัติธรรม
รักษาศีล ปาฏิหาริย์พลันก่อเกิด เหมือนมีคนมาต่อ
ลมหายใจ อาการทุกอย่างกลับสู่ปกติ ดิฉันนอนพัก
๒ - ๓ วันก็กลับบ้านได้ พอกลับถึงบ้าน จู่ ๆ รุ่นพี่
ที่เคยขาดการติดต่อไป ๔ - ๕ ปี ชื่อ กัลฯพัชนัย
นาคปรีชา ก็โทรมาชวนไปปฏิบัติธรรมที่พนาวัฒน์
จึงตอบตกลง เพราะจะได้ทำตามอธิษฐานสัญญาที่
ให้ไว้ ครั้นพอนั่งสมาธิ วันแรกก็มืด เมื่อย มึน
ปวดกระบอกตา เพราะบีบเปลือกตา พยายามเอา
ตามุดเข้าไปดูในท้อง ก็ฟัง เกิดความน้อยใจ เบื่อหน่าย
ท้อแท้ จึงลืมตาขึ้นจ้องไปที่ภาพหลวงปู่แล้วหลับตา
อธิษฐานจิตว่า “ถ้าลูกเป็นลูกหลานในเส้นทางบุญ
ของหลวงปู่แล้วไซร้ ขอให้ลูกได้พบประสบการณ์
ภายในเหมือนคนอื่นบ้างเถิด” วันที่ ๔ ขณะนั่งสมาธิ
อยู่นั้น ราวกับว่าห้องนั้นมีดิฉันนั่งอยู่เพียงลำพัง
ท่ามกลางความมืด พอจิตใจสงบ สบาย นิ่ง
เฉย ๆ เริ่มมีลำแสงพุ่งลงมาทะลุผ่านศีรษะไปกลาง
ท้อง วันต่อมาเกิดความเบา โล่ง โปร่ง สบาย
เย็นกาย เย็นใจ แต่ไม่เห็นดวงธรรมและองค์พระ
ๆ
กลับเห็นหน้าหลวงปู่มาปรากฏ พร้อมกับยิ้มให้ด้วย
แววตาที่ดูเมตตาและอบอุ่น วันสุดท้ายดิฉันได้ไป
กราบลาหลวงปู่ รำพึงรำพันในใจว่า ลูกยังไม่มีบุญ
ได้เห็นดวงสว่างเลย เมื่อกลับลงไปแล้วจะเอาดวง
สว่างที่ไหนมาเป็นนิมิตเพื่อปฏิบัติต่อที่บ้านล่ะ สิ้น
คำรำพันลูกได้เห็นดวงกลม ๆ สีฟ้า ๆ ใส ๆ ผุดขึ้น
จากกลางกายต่อเนื่องขึ้นมาเป็นสาย ทำให้ความรู้สึก
ณ เวลานั้นแสนเปี่ยมปีติแช่มชื่นดื่มกับความสุข
ที่เกินจะบรรยายถ่ายทอดมาเป็นคำพูดได้ น้ำตาแห่ง
ความปีติไหลรินอย่างไม่อาจระงับ รู้สึกเต็มตื้นใน
หัวใจที่เกิดจากความสุขที่สุด ผิดกับน้ำตาที่ไหลใน
อดีต เป็นน้ำเช็ดหัวเข่าที่เกิดจากความทุกข์ระทม
ขมขื่น ดิฉันรู้สึกรักตัวเองมากขึ้น อยากจะทำชีวิต
ที่เหลือให้มีคุณค่า จิตใจที่พร่องไปจะได้เต็มเหมือน
เดิม
เมื่อกลับลงมาจากการปฏิบัติธรรมก็รีบทำบุญ
และติด DMC ที่บ้านเพื่อชมธรรมะหน้าจอให้ต่อเนื่อง