ข้อความต้นฉบับในหน้า
ป่วยหนัก ตอนนี้อย่าเพิ่งกินเยอะๆ เลย" ที่พูดมาว่าเพราะว่าตอนอยู่กรุงเทพฯ ๓ วัน เราไม่ได้กินข้าวเลย ดื่มแต่กา น้ำและน้ำก็ไม่ออกจากตัว พ่อไปถึงที่โน่นอีก ๒ วัน ก็ได้กินข้าว แต่พอเชื้อโรคออกจากร่างกายไปแล้ว เรามีอาการหวัดทันที เขาก็ให้นมปัง ๒ แผ่น แล้วเรา ก็กลับไปพักที่บ้าน หมอนอีกเดือนครึ่งกลับมาบ้านไม่นานอยู่ ๆ ได้ยินข้างหนึ่งไม่ทำงาน ไในอีก โรงพยาบาลอีก ตอนนั้นหมอไม่ได้ฉีดยาแล้วค่ะ เจอะอย่างนั้นเลยไม่มีซาให้ เราร้องลูดยอดนทีเขาเจาะลงไป จากที่ว่า "สัมมาอะระหัง" แน่นแล้วนะ พอถึงเวลานั้น "สัมมาอะระหัง" หลุดไปเลย เพราะมันเจ็บมาก เจ็บจนเกินเจ็บ หมดแรงเลย
แล้วชีวิตที่อยู่เมืองนอกคนเดียวไม่มีญาติ ตอนนั้นเราคิดว่า "ตนเป็นที่พึ่งของตน" ไม่มีใครช่วยเราได้ ต้องหาอาหารกินเองทั้ง ๆ ที่สายยางติดขา ๒ ข้าง กลางคืนก็ต้องต่อสาย
ให้มันยาวออกไปทาง ๒ ข้าง ต้องดื่มน้ำให้ได้ วันละ ๔-๕ ลิตร เสร็จแล้วเราก็นอนภาวนา "สัมมาอะระหัง" อยู่ngนั่นโดยไม่มีเมื่อ ทุกวันนี้เวลาทำร่วมกับเพื่อนร่วมงาน เราจะพูดแต่เรื่องธรรม มีกี่วัดที่พูดถึง คนนั้นบ้างคนนั้นบ้าง เราทุกพยายามเตือนตัวเอง ว่า "อย่าพูด ๆ เดี๋ยวบาป" เราเตือนสติตัวเองอย่างนี้ตลอด ถ้าคนไหนที่เราไปบอกแล้วเขาพูดมาแรง ๆ เราจะวิ่งไปไม่ได้ตอบอะไรเลย เพราะเขารู้แล้วว่าบุญ-บาปคืออะไร คติบาณที่ว่า "ยังไม่เห็นโลงศพ ยังไม่หลั่งน้ำตา" ใช่จริง ๆ กับทุกคน ขอให้เป็นคดีสอบในทุกคนว่า ถ้าหากป่วยต่างแดนแล้ว มัวแต่ไปหลงอยู่กับโลก ไม่เอาธรรมะเป็นที่พึ่ง หากเกิดอะไรขึ้นแล้วเราจะไม่แข็งแรงและไม่แข็งแรงพอที่จะต่อสู้อะไรได้ ดังกว่าเราต้องยึดธรรมนำเป็นที่พึ่ง ธรรมที่สำคัญคือ การปฏิบัติธรรม ซึ่งการปฏิบัติที่สุดคือ การนึกถึงบุญ นึกถึงองค์พระ แล้วมันภาวนา สัมมาอะระหัง" ให้เป็นนิสัย
คุณอณรี นิราพรเดชะ
เมื่อก่อนผมเป็นคนใจร้อนมาก ในบรรดา พี่น้อง ๖ คน ผมเป็นคนที่ใจร้อนวูบวาบมากที่สุด ผมได้ไปเรียนหนังสือที่เกียว ก่อนจะเรียนจบ ก็มีปัญหาชกต่อยกับพี่ชาย จนโดนพี่ชายไล่ออกจากบ้าน ผมเลยไปอยู๋กับเพื่อนที่อดิยคลคลือกับพวกที่ติดยาเสพติดจนชีวิตผมหลงเหล่านั้น