ข้อความต้นฉบับในหน้า
อิติ ทุกข์นติ ใจ ภิกขุ ตามมัติ อวิสตเมตต์ นายาพกี ยิต ทุกข์
นายา อนุญ์ น พากี ทุกข์ตุตนียานเมน ตโต สจจิมิ มิติ ๆ
ดำ วิณา นาญุตโต ทุกข์ น โหติ น ตี ตโต
ทุกข์เหตุุตนียาเมน อิติ สจจิ วิสิติกา ๆ
นาญา นิพพานโต สนติ สนติ น จน นุ ยโต
สนุตกวาชินียานเมน ตโต สจจมิ ทัศ ฯ
มคคา อนุญ์ น นิยยาน์ อนิยญาโณ น จาโส
ตุตฉนิยานภาวตตา อิติ โส สจจสมโณ ตุ
อิติ ตดูวับโลกลาส ภูทวา ตุตสิโ
ทุกข์ทิสุวิสเสน สจจติ อาหุ ปนุตตา ฯ14
ก็ในข้อว่า โดยอรรถและโดยถอดความนี้ พึงทราบโดยอรรถก่อน หากมีคำถามว่า “อรรถของสัจจะคืออะไร?” จะพึงมีคำตอบอย่างผิดคว้าว่า
ภาวะใด เมื่อบุคคลเพ่งอยู่ด้วยปัญญาญาณ ย่อมไม่วิบรติเหมือนมวากลา ไม่ลงตา เหมือนพยับแดดไม่เป็นสภาวะที่ใคร ๆ หาไม่ได้ เหมือนอัตตาของพวกเดี๋ยวโดยที่แท้เป็นโครจ (อารมณ์) ของอัญญาณโดยความเป็นแท้ ไม่วิบรติ เป็นของจริงโดยการมีกาารเปียดบียน (ทุกสง) มีเหตุ เป็นแดนเกิด (สมุทยสัง) มีความสงบ (นิรโสล) มีการนำออก (มรรคสัง) ภาวะนั้นเป็นภาวะที่เป็นของแท้ ไม่วิบรติ เป็นของจริง ดูจักษณะไฟและดูปะพฤติของโลก(มีเกิดแก่เจ็บตาย) บัญฑิตพึงทราบว่าเป็นอรรถของสัจจะ เหมือนอย่างที่ตรัสไว้ว่า “ภิญญุทั่งหลาย คำว่า