ข้อความต้นฉบับในหน้า
"พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงค้นพบว่า แท้จริงแล้วโลกและจักรวาลก็คือ คุก ขังสรรพสัตว์ทั้งใหญ่โตมหาศาลประมาณ จนกระทั่งนักโทษไม่เฉลียวใจว่าตนกำลังถูกคุกอยู่"
๑. กฎประจำกฎ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงค้นพบว่า โลกและจักรวาลล้วนมี กฎแห่งกรรมอยู่ ๒ ประการ คือ
๑) กฎแห่งกรรม (Law of Karma)
กฎแรกของกฎนี้ คือ กฎแห่งกรรม ใช้ควบคุมมนุษย์อยู่ตลอดเวลาโดยไม่ยอมให้ดูดกฎนี้มีหลักการสั้น ๆ ว่า "ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว"
แต่ อย่าหลงคิดว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติฎแห่งกรรมขึ้น พระองค์ทรงเป็นเพียงผู้ค้นพบเท่านั้น
เจ้าของกฎนี้ ไม่เคยบอกให้บำบัดโทษว่า มีกฎแห่งกรรมเป็นกฎในประจักษ์ ถ้าใครทำผิดกฎจะต้องโดนลงโทษสถานหนัก
สิ่งที่เจ้าของกฎนี้กลัวที่สุดก็คือ กลลวงโทษจะว่ามีกฎแห่งกรรมซ่อนอยู่ เพราะถ้านักโทษพ้นผิดความจริงมันก็ง่ายขึ้นเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็หาทางหนีออกจากคุกไปได้ เขาจึงพยายามปิดบังความจริงนี้ไว้ ไม่ยอมให้นักโทษรู้ว่าอย่างเด็ดขาด
๒) กฎไตรลักษณ์
กฎนี้ของคุณ คือ กฎไตรลักษณ์ ใช้ควบคุมในลักษณะเดียวกัน มีเนื้อความที่ร้าย ท่วงทีว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
อนิจจา คือ ความไม่เที่ยง ความไม่แน่นอน ความไม่จริงมั่น
ทุกขัง คือ ความเป็นทุกข์ ถูกการเกิดขึ้นและการดับสลายบั้น จนกระทั่งอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้
อนัตตา คือ ความไม่เป็นตัวตนของตัวเอง ไม่มีใครควบคุมบังคับบัญชาได้
กลไกของกฎไตรลักษณะนี้อยู่ที่ "เวลา" สิ่งที่ปรากฏออกมาให้เห็นคือ เร็วเวลาเดียวกันเดียวกัน ให้รับรู้ รีบเจ็บ รีบตาย
ยิ่งแก่ยิ่งทุกข์ ยิ่งบีบยิ่งทุกข์ ยิ่งจะตายยิ่งทุกข์ ยิ่งกลับมาเกิดใหม่ยิ่งทุกข์ ทุกข์กันต่อไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนได้คำสรุว่า "ชีวิตนี้เป็นทุกข์"
กฎไตรลักษณ์จึงเป็นเครื่องมือบีบคั้นให้คนโทษเดือดเนื้อร้อนใจ แล้วทำผิดกฎแห่งกรรมเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงค้นพบกฎแห่งกรรมและกฎไตรลักษณ์ ก็ทรงบัดสนสวนชาวโลกให้รู้ความจริงนี้ เพื่อให้ไร้บาท ตราบใดจะบัดราวความประพฤติของตนเอง แต่นมนุษย์ก็เชื่อว่า ไม่เชื่อบ้าง พระพุทธองค์ก็ต้องจำใจปล่อยให้นมนุษย์เป็นนักโทษอยู่ในคุก คือ โลกและจักรวาลนี้ต่อไป ถ้าได้คืบกันเมื่อไร ก็จะตะเกียดตายหาถหนทางออกจากคุกเหมือนกันพระองค์ เมื่อครั้งทรงเป็นพระโพธิสัตว์อยู่"