ข้อความต้นฉบับในหน้า
กล่าวคือ เมื่อกีซลโสว์เป็นภาพละเอียดยกฝังเข้าไปอยู่ในใจแล้ว ก็ออกฤทธ์ิคอคุมใจโดยมีขันใจให้นุ่ม เมื่อใจนุ่มก็จะแสดงอาการของกิเลสออกมา ด้วยความคิด การพูด การกระทำร้าย ๆ
อาการที่นุ่มนั้น อุปมาเหมือนน้ำใส ๆ ในอ่อง ซึ่งมีตะกอนนอนอยู่ก้นถัง ถ้าผู้ใดวน้ำ ตะกอนก็จะลอยขึ้นมา น้ำใส ๆ ก็กลายเป็นน้ำม่วงไม่เห็นกัน
ในท่อนองเดียวกัน กิเลสก็เหมือนตะกอนที่อองน้ำอยู่ก้นบ่อ ถ้ามีตา ทุจมูก ลิ้น กาย ใจ ไปรวจับกับอะไร กิเลสก็จะลอยตัวมันมา ท้อทุ่มใจให้คุ้มมัว เป็นเหตุให้เกิดความ คิดโลก โกรธ หลง หรือทั้ง ๓ อย่าง แล้วก็เปลี่ยนเป็นพฤติกรรมร้าย ๆ ทางกาย ทางวาจา ทางใจขึ้นมา
คนที่ใจอุุ่นไปตามอำนาจกิเลสลักษณะ ย่อมจะมองปัญหาด่าง ๆ ไม่ตรงตามความเป็นจริง จึงทำให้ผิด พูดผิด ทำผิด
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคิดโลภขึ้นมา ของที่นาไม่ควรจะได้มาก็อยากได้มามาเป็นของตน อะไร มาวงก็ไม่ยอม พยายามตะแกเติมตะกายเพื่อเอามาเป็นของตัวให้ได้ ถ้าคิดโง่ขึ้นมา ของ ก็จะมี อยากจะทำลายให้พินาศไปต่อหน้าต่อตา ถ้าดลลงขึ้นมา คนก็จะกลั้นกลับไป ทำให้เห็นความจริงไม่ชัดเจน ก็เลยหลง ๆ เถ่า ๆ ไปแบบนี้ ๆ ทำให้ตัดสินใจผิดพลาด จึงเกิดความเสียหายตามมา
เมื่อใดก็ร้าย ๆ ก็พูดร้าย ๆ ทำร้าย ๆ ตามมา ซึ่งเป็นการทำชั่ว ย่อมต้องถูกลงโทษคือได้รับตามกฏแห่งกรรม ตราไปได้อย่างถูกต้อง อยู่ตราบนั้นมุ่งอย่างก็ต้องทำร้ายทั้งที่ทำ ร่างอยู่ร้า ๆ นั่นคือ จะต้องจดจำอยู่ในคุณอย่างทุกทรมาณโดยไม่มีว่าพันโทษ มีสภาพไม่ต่างกันนักโทษประหารอยู่วันรันดร
นี่คือความโหดร้ายของกิเลสในใจมนุษย์ เพราะกิเลสทั้งควบคุมทั้งบันใจให้ผุดตลอดเวลา เป็นการบังคับมนุษย์ให้ทำผิดกฎหมายอย่างต่อเนื่อง จึงต้องตกเป็นวาทของกิเลสไปตราบชั่วนิรันดร์
อุปมาเหมือนกับเจ้าของฟาร์มปศุสัตว์อ่อนไม่ต้องการให้สัตว์ในคอกในคอกนอกไปจากที่คุมขังได้เลยแม้แต่ตัวเดียวฉันใด คุก คือ วังสูงสารนั้น ก็อย่ามไม่ต้องการให้สรรพสัตว์ลุดพ้น จากการคุมขังในวังสูงสารได้เลยแม้แต่บุคคลเดียวฉันนั้น