การส่งเสริมความดีในสังคมไทย วารสารอยู่ในบุญ ประจำเดือน มกราคม พ.ศ.2553  หน้า 67
หน้าที่ 67 / 104

สรุปเนื้อหา

บทความนี้เน้นถึงความสำคัญของการส่งเสริมความดีในสังคมไทย โดยเริ่มจากการให้พรในครอบครัว และการสร้างวัฒนธรรมการชมเชยกันแทนการจับผิด ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในทุกระดับ ตั้งแต่ครอบครัว โรงเรียน จนถึงสังคม การปฏิบัติตามหลักการเหล่านี้จะช่วยลดความตึงเครียดและเพิ่มความสงบในสังคม โดยเฉพาะการเริ่มต้นทำบุญและส่งเสริมความดีในชีวิตประจำวันเพื่อให้แนวคิดนี้เป็นจริง

หัวข้อประเด็น

-การเผยแพร่ความดี
-การให้พร
-การปรับความสัมพันธ์ในครอบครัว
-วัฒนธรรมการชมเชย
-การทำงานร่วมกันในสังคม

ข้อความต้นฉบับในหน้า

ก็ยังได้ยินเสียงเพราะ ๆ อย่างนี้ ยังได้ยินเสียงให้พร แต่เดี๋ยวนี้ลูกหลานไทยไม่เคยได้ยินเสียง ชวนจากพ่อแม่ให้ไปกราบพระก่อนนอน ไม่ได้ยินเสียงให้พรจากพ่อแม่ก่อนนอน เพราะฉะนั้น ลูกหลานไทยวันนี้ชมคนไม่เป็น ให้พรคนไม่เป็น สรรเสริญกันไม่เป็น เป็นแต่จะจับผิดกัน แล้ว มันระบาดไปทั่วบ้านทั่วเมือง เริ่มจากจับผิดพ่อแม่ จับผิดคนใช้ที่อยู่ในบ้าน จับผิดพี่ ๆ น้อง ๆ กันเอง หนักเข้าพอไปถึงโรงเรียนก็จับผิดครู จับผิดเพื่อน หนักเข้าเมื่อโตขึ้นมาอ่านหนังสือพิมพ์ ก็คล่อง ดูทีวีก็คล่อง ฟังเสียงก็ชัด ก็เริ่มที่ผู้บริหารบ้านเมือง หนักเข้าลามกระทั่งพระ จับผิดพระ ถ้าปล่อยสภาพอย่างนี้ ต่อไปไม่ต้องมีใครมาทำอันตรายประเทศไทยหรอก เราแค่จับผิดกันเอง ติกันเอง บ้านเมืองก็พอจะลุกเป็นไฟได้แล้ว ไม่ต้องให้ใครมาทำอะไรเรา เพราะฉะนั้นฝึกกันใหม่ ย้อนกลับมาใหม่ ตั้งแต่เช้าขึ้นมาสวดมนต์ไหว้พระก่อน แล้วก็ ชักชวนกันทำบุญตักบาตร ชักชวนกันประกอบคุณงามความดี กินข้าวเสร็จไปทำงาน ถึงที่ทำงาน นายจ้างก็อย่าจับผิดลูกน้อง ลูกน้องก็อย่าจับผิดนายจ้าง แล้วช่วยกันทำงานไป ขณะทำงาน เพื่อนก็อย่าจับผิดเพื่อน มีอะไรจะแนะนำสั่งสอนตักเตือนกันได้ก็ว่ากัน เสร็จงานกลับบ้าน ถ้าผิดพ้องหมองใจ ขาดตกบกพร่องอะไร ก็อย่าโกรธกัน เพราะว่า ล้วนแต่จะทำงานให้ดีกันทั้งนั้น ถ้าล่วงล้ำกล้ำเกินกันก็ขออภัยด้วย ให้จบกันแค่วันนี้ อย่าให้ ความอุ่นใจข้ามคืนไปเลย ลาจากกันที่ทำงาน แล้วก็กลับบ้าน อาบน้ำอาบท่า กินข้าวกินปลาเสร็จ ก็สวดมนต์ไหว้พระก่อนนอน ให้พรลูกให้พรหลานก่อนนอน เราย้อนกลับมาทำสิ่งที่ดีงามอย่างนี้ บ้านเมืองไทยจะได้ไม่ต้องมีแต่เรื่องรกหูรกใจอย่างที่เป็นอยู่ แล้วไฟเหนือ ไฟใต้ ไฟอะไรต่ออะไร มันจะค่อย ๆ หมดไปเอง เมื่อเราไม่จับผิดกันมันก็จะตรงกันข้าม คือ หันมาจับถูก จับความดีซึ่งกันและกัน เมื่อนั้น ลูกจะเห็นคุณของพ่อแม่ สามีจะเห็นคุณภรรยา ภรรยาจะเห็นคุณสามี พระเห็นคุณของญาติโยม ที่ได้อุปการะให้ข้าวปลาอาหาร ทำให้มีเรี่ยวแรงปฏิบัติธรรม ญาติโยมก็เห็นคุณของพระที่เป็น เนื้อนาบุญให้ มาเทศน์มาสั่งสอนให้รู้บุญ รู้บาป ปิดนรก เปิดสวรรค์ให้กับเรา มองกันด้วยจิต เมตตาอย่างนี้ แล้วเรื่องที่ว่า พระจะใส่รองเท้าบิณฑบาต เพราะว่าสารเคมีย่านนั้นมันเยอะ เหลือเกิน ขึ้นไม่ใส่รองเท้า เท้าได้ฟังกันแน่ เมื่อถึงตอนนั้นก็ไม่มีใครมานั่งจับผิดพระ
แสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก
Login เพื่อแสดงความคิดเห็น

หนังสือที่เกี่ยวข้อง

Load More