ข้อความต้นฉบับในหน้า
พระคุณแม่ โดย พระภาวนาวิริยคุณ (หลวงพ่อทตตชีโว )
ทำความดี ก็บอกว่ามีอยู่ชนิดเดียวคือ คน ผิดจากคน แม้เพียงใกล้เคียงคน ก็ยังทำความดีได้ไม่เท่าคน ยก
ตัวอย่าง ลิงนี่รูปร่างใกล้คนมาก แต่ว่าจะทำความดีให้ได้เท่าคนน่ะไม่ได้ เป็นได้แค่ลิง คืออาจจะฉลาดอาจ
จะเดินเหินคล่องแคล่วกว่าสัตว์อื่น แต่ว่าให้เท่ากับคนนี่ทำไม่ได้ เพราะรูปร่างของคน เป็นรูปร่างที่ใกล้เคียง
รูปร่างมาตรฐาน ที่เหมาะแก่การทำคุณงามความดีทุกรูปแบบ คือใกล้เคียงกับ ธรรมกาย ในตัวของเรา ใคร
ที่ได้รูปร่างเป็นคน ย่อมถือว่าได้อุปกรณ์สูงสุดสำหรับทำความดี เพราะฉะนั้นความดีต่าง ๆ ที่งอกเงยขึ้นไป
จากตัวเรานี่ ต้องถือว่า ทุกหยดทุกหยาด ทุกอณูมาจาก แม่พิมพ์ที่ดีของเรา คือแม่ที่เป็นคน ไม่มีแม่ก็เกิด
ไม่ได้ แม่นั้น ไม่ว่าจะอยู่ในรูปร่างอย่างไรก็ตามที เมื่อหล่อหลอมให้ลูกเกิดขึ้นมาแล้ว ลูกเหล่านั้นจะทำความ
ดีสูงสุดไม่ได้ ยกเว้นแม่ที่เป็นคน
อย่าว่าแต่สิ่งที่มีชีวิตเลย แม้สิ่งไม่มีชีวิต จะเป็นถ้วย เป็นชาม เป็นช้อน เป็นรถ เป็นอุปกรณ์
เครื่องใช้ต่าง ๆ ก็ตาม สิ่งของเหล่านี้จะใช้ได้เหมาะมือ ถูกใจ มีความจำเป็นว่า จะต้องได้แม่พิมพ์หรือได้เบ้า
หลอมที่ดี ถ้าไม่ได้แม่พิมพ์ ไม่ได้เบ้าหลอมที่ดี ยังไง ๆ ก็เอาดีไม่ได้ แม่พิมพ์จึงสำคัญนัก
นี่เป็นชีวิตอย่างเรา ๆ แล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้าล่ะ บุญขนาดพระองค์ต้องอาศัยแม่ไหม..... ก็ต้อง
อาศัยเหมือนกัน พระองค์ตรัสเอาไว้ชัดเจนเลยว่า ไม่เพียงแต่พระองค์เท่านั้น แม้พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์
เวลาจะมาบังเกิดในโลกนี้ เรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งก็คือ การเลือกพุทธมารดา ต้องทรงเลือกแล้วเลือกอีกว่า
ใครหนอจะสมควรเป็นพระมารดา ครั้นเลือกได้แล้วจึงจุติจากสวรรค์ชั้นดุสิตลงสู่พระครรภ์
ทำไมคนที่มีบุญมาก ๆ ขนาดที่จะมาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังต้องมีแม่ แล้วจำเป็นต้องเลือกด้วย
จำเป็นมาก เพราะแม่เป็นเบ้าหลอมเป็นแม่พิมพ์ ถ้าได้เบ้าหลอมได้แม่พิมพ์ที่คุณภาพไม่ดีเยี่ยมละก็ เดี๋ยวได้
ลักษณะที่ไม่สมบูรณ์ คลอดออกมาแล้ว จะทำความดีไม่ได้หรือได้ก็ไม่เต็มที่ ก็ในเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่ง
มีบุญมากมายเหนือมนุษย์ทั้งโลกอยู่แล้ว ยังต้องเลือกแม่ แล้วเราคนธรรมดา ๆ ยิ่งต้องอาศัยแม่ใหญ่เลย ถ้า
ไม่อาศัยเป็นเอาตัวไม่รอด
เกิดแล้วแม่ไม่เลี้ยงก็ไม่รอด
แค่ได้แม่ที่เป็นคนอย่างเดียว ก็นับว่ามีบุญมากกว่าสัตว์ทั้งหลายในโลกอยู่แล้ว แต่พวกเรายังได้มาก
กว่านั้น คือได้ท่านเลี้ยงดูเรามาอย่างดีอีกด้วย เคยถามตัวเองบ้างไหมว่า วันที่เราคับขันที่สุดในชีวิตน่ะวันไหน
บางคนบอกว่าวันที่เจ็บไข้ได้ป่วยปางตาย บางคนบอกว่าวันที่ล้มละลายไม่มีเงินทองติดตัวเลย บางคน
บอกว่าวันที่คับขันที่สุดคือวันที่ศัตรูตามล่าเอาชีวิต จริง ๆ แล้วไม่ใช่ วันที่คับขันที่สุดในชีวิตของคนคือ วันเกิด
ทำไมจึงว่าคับขัน... ที่ว่าคับขันก็เพราะว่าวันนั้น ตอนที่เราออกจากท้องแม่มาใหม่ ๆ น่ะ ถามว่ามีแรง
ไหม...ไม่มี เราจะลืมตายังไม่มีเลย ตัวแดงแจ๋ เจ็บเนื้อเจ็บตัวแทบขาดใจ จะร้องให้ใครช่วยก็ไม่รู้จะร้องว่า
อย่างไร บางคนไม่มีแรงจะร้องแว้ ๆ เสียด้วยซ้ำ ได้แต่เอ๊าะ ๆ แอ๊ะ ๆ ไปอย่างนั้น ผ้าผ่อนที่จะเป็นสมบัติ
ติดตัวมาสักชิ้นก็ไม่มี ล่อนจ้อนมาทุกคน นี่ถ้าแม่ไม่ส่งให้ละก็ไม่มีทางเลย
ๆ
วันนั้นอาหารก็ไม่มีเป็นของตนเอง ไม่ได้น้ำนมจากอกแม่ก็ตายแล้ว ไม่ต้องมาก เพียงแค่แม่ไม่คิดว่า
เป็นลูก ท่านว่าขับถ่ายออกมาเหมือนอุจจาระปัสสาวะแล้วก็โยนเผละใส่กองขยะ ป่านนี้พวกเราตายไปแล้ว
ไม่ได้มานั่งอยู่นี่หรอก เพราะตามธรรมดาคนเรานั้น ถ้ามีเหตุเภทภัยเกิดขึ้น เขาก็จะดิ้นรนใช้กำลังขุมใดขุม
หนึ่งหรือทั้ง 4 ขุมนี้เป็นเครื่องต่อสู้คือ
8