ข้อความต้นฉบับในหน้า
พระคุณแม่ โดย พระภาวนาวิริยคุณ (หลวงพ่อทตตชีโว )
เรียนจบกลับเมืองไทย ไม่มีการเขียนจดหมายถึงกันและกันเลย
ซึ่งการกระทำอย่างนี้ไม่ดีเลยนะ แล้วก็เป็น
กงกรรมกงเกวียน ลูกศิษย์ทัตตชีโวไปถึงไหน แล้วไม่เคยเขียนจดหมายมาเล่าให้ฟังเลย ว่าสาระทุกข์สุขดิบ
เป็นอย่างไร ก็ได้แต่ชะเง้อคอย เมื่อไหร่ลูกศิษย์เราจะกลับมา แบบเดียวกันเลย ไม่ไปไหนซีน่า
นี่ก็เป็นเรื่องหนึ่งที่อยากฝากกับพวกเราทุกคน ๆ คน ช่วยเขียนจดหมายไปถึงคุณพ่อคุณแม่บ้างนะ ใคร
ที่อยู่ต่างจังหวัดแล้วเข้ามาทำงานก็ดี เข้ามาเรียนในกรุงเทพฯก็ดี ช่วยเขียนจดหมายส่งไปให้ท่านด้วยแต่ไม่ใช่
"พ่อครับ แม่ครับ คิดถึงมาก ตอนนี้เงินหมดแล้ว"
ถ้ามีเวลาว่างช่วยจดหมายไปถึงท่านเถอะ แล้วเวลาท่านตอบมาเราจะได้โอวาทดี ๆ จากท่าน เป็น
โอวาทชนิดที่ควักออกมาจากใจ ซึ่งแม้ว่าคุณแม่คุณพ่อของเราท่านจะมีความรู้มีการศึกษาน้อย แต่ว่า
ประสบการณ์ในทางโลกของท่านมาก แม้ความรู้จะน้อย แต่ว่าท่านจะมีเหตุผล มีคำสรุปในการลุยโลกลุยชีวิต
ของท่าน เอามาให้เป็นข้อคิดแก่เราได้เป็นอย่างดี แล้วคำพูดไม่กี่คำของท่านนั่นแหละ จะมีค่ายิ่งกว่าทองคำ
กองสูงท่วมหัวเสียอีก
ลูกยังไม่กลับ หลับตาไม่ลง
ประสบการณ์อีกเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองก็คือ พอกลับมาถึงเมืองไทย ก็ติดนิสัยตอนอยู่ต่างประเทศ
กลับมาด้วย คือ เมื่อตอนใกล้ ๆ จะจบเหลือแต่งานวิทยานิพนธ์ คิดว่าอย่างไรก็จบแน่ ๆ ก็เลยเที่ยวเตร่เฮฮา
กันพอสมควรเชียว พอกลับมาถึงเมืองไทย ก็กลายเป็นพวกนกฮูก หัวค่ำนอนไม่ค่อยได้ต้องนอนดึก ๆ ก็เที่ยว
ไปตามบ้านพรรคพวกเพื่อนฝูง เที่ยวเตร่เฮฮากันไป กลับมาถึงบ้านก็โน่น ตีหนึ่ง ตีสอง มีอยู่วันหนึ่งกลับมา
ถึงบ้านประมาณสักตีหนึ่งครึ่ง โยมพ่อโยมแม่ยังไม่นอน ก็เลยถามท่าน "เอ้า ทำอะไรกันจนดึกเชียวไม่นอน"
โยมพ่อไม่พูดอะไร มองหน้าแล้วท่านก็เข้านอน แต่โยมแม่พูด
"ก็นั่งรอเรานะชิ ไปทำอะไรมานี่ ตั้งตีหนึ่งจะตีสองแล้วเพิ่งจะกลับ"
ก็บอกไปเที่ยวบ้านเพื่อนมา
"รู้ไหมว่าพ่อเขาห่วงจะแย่อยู่แล้ว แม่ก็ห่วงเอ็งนะ นั่งรออยู่นี่"
ก็ตอบโยมแม่ไปแบบรำคาญ ๆ "ฮ้ย...มาห่วงอะไรกันหนักหนา ข้ามน้ำข้ามทะเลไปเป็นปีๆ ยังไม่
ต้องห่วง แล้วนี่เมืองไทยยังต้องมาห่วงกัน" ท่านก็ถอนใจเสียงดังเฮือก แล้วก็ไม่พูดอะไรอีก ก้มหน้างุดเข้า
นอน ท่านคงน้อยใจ ท่านรักลูกของท่าน ท่านห่วงลูกของท่าน แต่พอถึงเวลาแล้ว ลูกกลับไม่ได้นึกหรอกว่า
ท่านห่วงหรือไม่ห่วงอย่างไร กลับไปตำหนิท่านเสียอีก มานึกได้ตอนหลังว่า เรานี่ช่างไม่เข้าท่าเลยนะ ทำให้
ท่านห่วง แล้วยังมาว่าท่านอีก
พวกเราช่วยเอาเรื่องเหล่านี้ไปเป็นกระจกส่องตัวเองกันด้วยนะ เพราะอาตมาเมื่อตอนวัยรุ่น เมื่อจบ
การศึกษาใหม่ ๆ ไม่ค่อยได้สังเกตเท่าที่ควรจะเป็น แล้วก็ไม่ค่อยนึกอะไรมาก ผู้เฒ่าจะคิดยังไงกับเราก็ช่าง
ท่านปะไร ยังไง ๆ ท่านก็รักเรา ให้อภัยเราหมดแหละ เพราะฉะนั้นเราจึงทำอะไรตามอำเภอใจหมด แต่ว่า
ขณะนี้อายุจะ 50 เข้ามาแล้ว ถ้าเมื่อหนุ่ม ๆ แต่งงานไป คงมีลูกหลายคนไปเชียวละ แต่ตอนนี้อายุมันอยู่
ในวัยเป็นพ่อเป็นแม่คนแล้ว ก็เลยได้เข้าใจว่า ผู้เฒ่าน่ะท่านมีความรู้สึกอย่างไร มารู้เอาก็ตอนนี้โยมพ่อก็เสีย
ไปแล้ว เหลือแต่โยมแม่อายุ 76 ปี ก็เลยต้องเอามาเล่าให้พวกเราฟังเป็นอุทธาหรณ์
16