พระคุณแม่ โดย พระภาวนาวิริยคุณ พระคุณแม่ เล่ม 1  หน้า 11
หน้าที่ 11 / 30

สรุปเนื้อหา

บทความนี้นำเสนอความคิดเกี่ยวกับพระคุณของแม่และการมองเห็นชีวิตของเด็กที่เติบโตในสภาพแวดล้อมที่แตกต่าง โดยได้กล่าวถึงประสบการณ์การเติบโตในครอบครัวที่ไม่ร่ำรวย แต่เต็มไปด้วยความรักและความอบอุ่นจากพ่อแม่ ทั้งนี้ยังมีการเปรียบเทียบความรู้สึกของเด็กกำพร้าที่มองคนรอบข้างเป็นศัตรู แม้เมื่อเผชิญกับความยากลำบาก แต่ผู้เขียนได้ตระหนักถึงความเสียสละและความรักของพ่อแม่ซึ่งยิ่งใหญ่กว่าสิ่งอื่นใด การแบ่งปันและการไม่ต้องการสิ่งตอบแทนจากพ่อแม่ในยามที่เติบโตขึ้นนั้น เป็นบทเรียนที่มีค่าสำหรับทุกคนที่อ่าน โดยเฉพาะกับพวกที่มีแนวคิดที่ว่าวัตถุเป็นสิ่งสำคัญ

หัวข้อประเด็น

- ความรักของพ่อแม่
- การเติบโตของเด็ก
- เด็กกำพร้า
- สภาพแวดล้อมการเลี้ยงดู
- ประสบการณ์ชีวิต

ข้อความต้นฉบับในหน้า

พระคุณแม่ โดย พระภาวนาวิริยคุณ (หลวงพ่อทตตชีโว ) แต่เด็กมีอยู่ถึง 200-300 คน พอส่งให้ก็เลยชุลมุนแย่งกัน คนหนึ่งคว้าคอ คนหนึ่งคว้าแขน อีกคนดึงขา พรึบเดียวขาด ได้ไปคนละท่อนสองท่อน แล้วก็ทุบกันตีกัน เอาเสื้อไปให้คนไหนเก่าขาดแล้ว พี่เลี้ยงเขาก็เอา เสื้อใหม่เปลี่ยนให้ ของคนไหนยังกลางเก่ากลางใหม่ ก็ไม่ได้เปลี่ยน แกก็อิจฉากัน เข้าไปดึงไปทิ้ง ในที่สุด เสื้อใหม่ก็ขาด ไม่ได้ใส่ เห็นอย่างนั้นแล้วได้คิด สลดใจวูบเลย ตายจริง เด็กพวกนี้เขามีความรู้สึกนึกคิดไม่เหมือนเรา เมื่อ เรายังเด็ก เราอยากได้เพื่อนรุ่นเดียวกันหลาย ๆ คนจะได้เล่นกันให้สนุก เราไม่เคยคิดเลยว่าเพื่อนรุ่นเดียวกัน หลาย ๆ คนจะได้เล่นกันให้สนุก เราไม่เคยคิดเลยว่าเพื่อนจะมาแย่งของกิน แย่งของเล่นเพราะท้องเราอิ่ม ของเล่นของเราก็มาก แล้วที่สำคัญเรามีความอบอุ่นจากคุณพ่อคุณแม่ เรารู้ว่าท่านรักเรา ใคร ๆ รอบข้าง เราล้วนรักเราทั้งนั้น เราจึงมองโลกในแง่ดี รักเพื่อน อยากได้เพื่อนเล่นมาก ๆ บางวันมีตั้ง 20-30 คนเล่น อย่างโน้นเล่นอย่างนี้ เกรียวกราวตึงตัง โดนตีวันละหลาย ๆ รอบ ก็เพราะเรื่องสนุก ๆ นี่ละ แต่ว่าเด็กกำพร้าพวกนี้ ไม่ได้มีความรู้สึกอย่างพวกเรา เขาไม่ได้มองว่า คนรอบข้างเขา 200-300 คนนี่คือเพื่อน แต่มองเป็นศัตรูที่คอยแย่งของ แย่งคนที่มารัก แววตาของเขาแห้งผาก ว้าเหว่อย่างน่าใจหาย เขาไม่มีแม้พ่อแม่จะให้รัก แล้วคนที่มีพ่อแม่เลี้ยงดูมาถึงขนาดนี้แล้ว ยังจะเอาอะไรจากท่านอีก แม้ความตายมาจ่อคอก็ไม่ทิ้งลูก อาตมาเองเกิดในตระกูลชาวไร่ชาวนาอยู่จังหวัดกาญจนบุรี ฐานะทางบ้านไม่ร่ำรวยขนาด มีเงินฝากธนาคาร เป็นถุงเป็นถัง แต่ก็มีความภูมิใจว่า ครอบครัวของเราไม่เคยเป็นหนี้ใคร เราอยู่กันตามประสาชาวไร่ชาวนา ตอนเรียนหนังสือ อาตมามีเพื่อนฝูงที่ร่ำรวยหลายคน แต่ก็ไม่เคยนึกน้อยใจเลยว่า พ่อแม่ไม่ร่ำรวยเหมือนพ่อ แม่คนอื่น คงเป็นเพราะอาตมา จำภาพคราวคับขันเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเมื่อตอนเด็ก ๆ ได้ติดตาติดใจ คราวนั้น ถ้าไม่ได้ท่านเราคงตายไปแล้ว ดังนั้นถึงยากลำบากอย่างไร ก็ไม่คิดจะเรียกร้องเอาอะไรจากท่านอีก จำได้ว่าตอนนั้นอาตมาอายุประมาณ 4-5 ขวบ เกิดสงครามโลกครั้งที่สอง ภาพเหตุการณ์บางตอบ อาตมาจำได้แม่นยำ คงเป็นเพราะความกลัวสุดขีดนั่นเอง เสียงลูกระเบิดหล่นตูม ๆ แผ่นดินสะเทือนไปหมด เวลาเครื่องบินข้าศึกบินมาทิ้งระเบิด ทางราชการเขาจะเปิดหวอเป็นสัญญาณ ให้ชาวบ้านหนีลงหลุมหลบภัย พอเสียงหวอดังขึ้น โยมแม่ของอาตมาไม่รอช้ารีบคว้าข้อมือพี่สาว 2 คน วิ่งลิ่วไปที่หลุมหลบภัย ส่วนโยมพ่อ เนื่องจากอาตมายังเล็ก ท่านจึงเอาขึ้นบ่าแบกวิ่งไปอย่างเร็วที่สุด ข้าวของอะไรไม่เอาทั้งนั้น ลงหลุมได้ก็กอด กันกลม อกสั่นขวัญแขวนไปหมด! โยมแม่มาเล่าให้ฟังตอนหลังอีกว่า บางคราวขนาดลูกระเบิดหล่นตูม ๆ อาตมายังงอแงจะกินนั่นกินนี่ โยมแม่ต้องวิ่งขึ้นจากหลุมมาเอาลงไปให้กิน แหม...เรานี่ทรมานพ่อทรมานแม่จังเลย.... เพราะฉะนั้น โตขึ้นมาแล้ว จึงไม่นึกอยากจะเอาสมบัติอะไรจากท่านอีก นึกอยู่เสมอว่า ท่านเสี่ยง ตายเลี้ยงเรามาถึงขนาดนี้ รักเรายิ่งกว่าชีวิตของท่าน แค่นี้ก็เกินพอแล้ว เวลาอ่านหนังสือพิมพ์พบข่าว กรณี พ่อแม่ใครตายแล้วลูก ๆ แย่งสมบัติกัน อาตมาก็อดสมเพชสลดใจไม่ได้ ทำไมหนอ ทำไมจึงเป็นคนอย่างนี้ แย่งกันไป ป้องกันไป บางคนถูกทนายเอาไปกินหมด 11
แสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก
Login เพื่อแสดงความคิดเห็น

หน้าหนังสือทั้งหมด

หนังสือที่เกี่ยวข้อง

Load More