ข้อความต้นฉบับในหน้า
มีสักกี่ใหม่ ๓ คน เคยเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็กๆ เมื่อบวชก็อยู่ด้วยกัน เมื่อสักกี่อออกมาพร้อมกัน พลิกแล้วก็พากันเดินทางกลับไปยังหมู่บ้านของตน
ระหว่างทางผ่านชายป่า
คิดคนที่ ๑ พูดว่า “เออ มีช้างเดินล่วงหน้าพวกเรามานะนี้
ดูซิชิไม่ดูมันหยิบยซะรอบเลย”
คนที่ ๒ “อาว! เพิ่งรู้หรือ นึกว่าจะนานแล้วเลยไม่บอก
แล้ววิธีหรือกล่าวช่างตัวนี้มันตามบอดอย่างนี้ บอดข้างซ้ายด้วย”
คนที่ ๑ “รู้ใช่มั้ยตามบอด แม่งบอดข้างซ้ายเสียอีก”
คนที่ ๒ “ซูจี ก็ดูซิว่า ผลไม้ ยอดไม่อ่อนๆ ด้านขวาน่ะ ช่างตัวนี้มันนักกินหมด ก็เห็นๆ อยู่
แต่ทางด้านซ้ายอะ ต้นไม้งิ้มไม้สักต้นใญ่มีลูกเหรียบถูกๆเลย
แสดงว่าช่างตัวนี้ต้องตามบอดอย่างซ้ายแน่”
คนที่ ๓ “แล้วเพื่อนหรือเปล่าว่า ช่างตัวนี้เป็นช่างตัวเมีย! อีกคุณถาม
คนที่ ๒ “อะ เอ๊ะอะไรน้ำขนาดนั้น รู้ได้ยังไง!”
คนที่ ๓ “อาว..ก็เพื่อนไม่ส่งก็รอที่ช่างนี้หรือว่า มันคือเป็นที่ๆ
แสดงว่ามันต้องหยุดดิ้น อย่างนี้ต้องเป็นช้างตัวนั้นแน่ ถ้าเป็นช้างตัวนี้ มันต้องยืนรีรอแน่ซะ
นี่เป็นเรื่องข้อๆ ที่โพงกันมานานแล้ว ตั้งแต่ลูกพ่อยังเด็ก เขาเอาความรู้มาแจ้งรู้ร้ก็ผล มาดูเป็นเรื่องให้จำกัน ให้คิดกัน ใครจะเอาไปเล่าต่อก็เว่นๆนะ”
๓. รู้จักคน
การรู้จักคน ถามน้องอย่างผิดคน ก็เช่นว่ารู้ว่าเป็นใคร ชื่ออะไร
มีความรู้ความสามารถแค่ไหน เมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่นๆ แล้วเราเด่นเราอย่างไร
แต่นั่นยังไม่ใช่การรู้จักคนที่แท้จริง
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแจ้งให้เรารู้จักตน โดยมีวิธีสวรรจ้าตัวเราเอง ดังนี้
๑) ศรัทธา รู้ว่ามีศรัทธามั่นคงในการทำความดีขนาดไหน
๒) ศีล มีศีลมั่นคงขนาดไหน อย่างน้อย ศีล ๕ ของเรานั่นครบท้วนทุกวันหรือไม่
๓) การศึกษา (สุดตะ) มีความรู้เกี่ยวกับโลกและสิ่งรอบในระดับใกล้เคียงกับคนในสังคม
ในยุคของเราแต่ไหนไหน
๔) ความเสียสละ (จากจะ) เรามีความเสียสละขนาดไหน ทั่งการเสียสละเพื่อครอบครัว, สังคม, ศาสนา รวมทั้งการละอารมณ์ที่ไม่พึงใจออกไป
๕) ปัญญา เรามีความรอบรู้ทั้งด้านการดำรงชีวิต และรับบุญคุณโทษขนาดไหน
๖) ปฏิภาณ เรามีความสามารถในการโตตอบขนาดไหน