ข้อความต้นฉบับในหน้า
คนในโลกนี้พวกหนึ่งอยากเห็นพระอธิษฐ์ กับพวกหนึ่งไม่อยากเห็น พูดง่ายๆ
พวกอยากเห็นพระกับพวกไม่อยากเห็น พวกที่อยากเห็นพระนั้นยังแบ่งออกเป็น
อยากเห็นพระเพราะอยากพึ่งธรรม ถามว่าอยากเห็นพระหรือ ไฉนอยากพึ่งธรรม
พวกหนึ่งอยากเห็นพระทำไมล่ะ ไม่เห็นพึ่งเทคพึ่งธรรมของท่านเลย เอ้า! ฉันทิอาขอหวยซิ
มันแยกกันออกไป หรือบางคน ฉันไม่อยาก อยากรู้โชคชะตา อยากให้พระผกดวงให้
ธรรมไม่อยากฟังหรอก
พวกฟังธรรมยังแบ่งอีก ตั้งใจฟังบ้างไม่ตั้งใจฟัง พวกหนึ่งตั้งใจฟังเหลือ กิน นั่งตัวตั้งเลย
แต่ก็พวกหนึ่งฟังเพลินๆ ไปอย่างนั้นแหละ แหม! หลวงพ่อท่านเทคนิคเพราะดี เสียงท่านดีดี
ก็ว่ากันไป ตั้งใจฟังไม่ตั้งใจ พังตั้งใจฟังยังแบ่งออกเป็น ๒ พวก
จำได้พวกหนึ่งจำไม่ได้พวกหนึ่ง พวกหนึ่งจำได้แล้วอามพิจารณา อีกพวกหนึ่งไม่พิจารณา
จำเอาไว้ดูเล่น พวกที่พิจารณาแล้วอามปฏิบัติอีกพวกหนึ่ง ไม่ปฏิบัติ เอาไว้แค่ดูอวดชาวบ้าน
เอาไว้ว่ากว่ากันอวดครามก็ยังมี
จากการจำแนกปรกนอกออกเป็น ๒ จำพวกอย่างนี้ ทำให้พระพิจารณาคนได้ลึกซึ้ง
คนที่มาดูกับเรา หรือคนที่เราเข้าไปเกี่ยวข้อง เราก็เอาหลักการข้อนี้ไปพิจารณาดูเอง
จะรู้ว่าเขาดูกับเรานั้น เขาต้องการอะไรบ้าง ไฉนจะรอรับก็ไม่ไหว จะมารวมตายด้วย จะเทียนเรารึได้
หรือจะรวมสุข แต่รวมทุกข์เถอ่ะนะ หรือจะดูหมาอะไร ในหานเดียวกัน
เมื่อเราดูกับใคร ถามตัวเองดูว่า เรายังความจริงใจแค่ไหน
หรือว่าเราเป็นประเภทไม่ชอบคิดอะไร รู้จักใครก็ปรบมืออย่างงั้นเป็นพวกเรื่อย ๆ เบื่อๆ
เข้าข่ายอะไรน่ะ
หากใช้หลักสัปฏิธรรม เป็นแม่บทในการตัดสินใจแล้ว ก็เรีอกได้ว่า เราสามารถครองชีวิต
อยู่ในครรลองของความเป็นคนฉลาดและคนดีได้เท่านั้น
"ของนี้เป็นมงคลหรือไม่เป็นมงคล
ถ้าไม่เป็นมงคลก็ทิ้งเลย
ถาเป็นมงคลเอาไว้
เราไปไปเลยตั้งแต่มงคลที่"