ข้อความต้นฉบับในหน้า
การวิจัยเชิงคณะกรรมาธิการ: กรณีศึกษา "ถ้ามีจัับกับปัจจุบันสูตร?" 5
รูปแบบการวิจัยเชิงคณะกรรมาธิการ
ในการศึกษาวิจัยทั้งสายวิทยาศาสตร์และศิลปศาสตร์นั้น เมื่อแบ่งตามประโยชน์ของการวิจัยแล้ว สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 รูปแบบใหญ่ ๆ คือ
1. การวิจัยพื้นฐาน (Basic Research) หรือการวิจัยบริสุทธิ์ (Pure Research) เป็นการวิจัยที่มุ่งหมายในการหาคำศัพท์ สูตร และความรู้ใหม่ เพื่อเป็นพื้นฐานในการขยายความรู้ทางวิชาการในการศึกษาเรื่องอื่น ๆ ต่อไป หรือตรวจสอบทฤษฎีเดิมที่มีอยู่แล้ว
2. การวิจัยประยุกต์ (Applied Research) เป็นการวิจัยที่มุ่งเน้นในการค้นหาความรู้ เพื่อ้นำความรู้ที่ได้ไปใช้ในการแก้ปัญหาต่าง ๆ หรือใช้ในการกำหนดนโยบายและตัดสินใจ กล่าวคือ เป็นการวิจัยเพื่อมุ่งเน้นในการนำผลวิจัยไปใช้ประโยชน์ในทางปฏิบัติเป็นสำคัญ
สำหรับการวิจัยพรรณพระพุทธศาสนาหากอาศัยรูปแบบการวิจัยดังกล่าวสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 รูปแบบ ดังนี้
1. การศึกษาวิจัยเชิงคัมภีร์ (Document Research) เป็นการศึกษาค้นคว้าด้วยอาศัยแหล่งข้อมูลสำคัญ คือ คัมภีร์พระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา อนุฎีกา ปกรณ์เสส รวมถึงคัมภีร์พระพุทธศาสนาของนิยากต่าง ๆ ที่บันทึกด้วยภาษาสันสกฤต จีนโบราณ 3
----------------------------------------------------------------------
3 อภิราม (2544: 11-13) ได้กำหนดเกณฑ์ในการจำแนกและประเภทของการวิจัยออกเป็นรูปแบบต่าง ๆ ไว้กล่าวว่า "การจำแนกตามประโยชน์ของการวิจัย" โดยแบ่งประเภทของการวิจัยออกเป็น 3 รูปแบบ คือ 1. การวิจัยบริสุทธิ์ (Pure Research) 2. การวิจัยประยุกต์ (Applied Research) 3. การวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) แต่สำหรับบทบันทึกนี้ ผู้เขียนเห็นว่าสามารถแยกแยะเข้าในรูปแบบที่ 2 ได้ จึงกล่าวไว้ในที่นี้เพียง 2 รูปแบบเท่านั้น
4 สำหรับบทบันทึกนี้ จีนฉบับนี้เป็นฉบับที่แปลมาจากฉบับที่เป็นฉบับสังคตโดยทั่วไปมักเรียกว่าฉบับแปลภาษาจีนโบราณ (Chinese translations of Buddhist scriptures) และฉบับที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย คือ Taishō-shinshū-daizōkyō ตั๋งซื่อ-ฉินชู ไดจ๋อหยก