ข้อความต้นฉบับในหน้า
ธรรมวาธ วรรณวราราชการทางพระพุทธศาสนา
ปีที่ 7 ฉบับที่ 2 (ฉบับรวมเล่ม 13) ปี 2564
เหตุผลของการตีความที่แตกต่างกันนี้ เนื่องมาจากนายสรวา-สติวามและนิกายเถรวาทมีแนวคิดที่แตกต่างกันในการอธิบายเรื่องความสิ้นสุดของชีวิตสัตว์ที่เวียนว่ายตายเกิดในสงสารวัฏ ซึ่งความแตกต่างนี0อยู่ว่าเมื่อสัตว์ตายแล้วในภาพภูมิดเดิม จะเกิดใหม่ในภาพภูมิใหม่หรือว่ามีช่วงเวลาคานกลางในระหว่างสองภาพภูมินั้น ซึ่งนายสรวา-สติวามเชื่อว่าต้องมีรูปแบบของขั้น 5 แบบละเอียดที่เป็นตัวเชื่อมต่อระหว่างชีวิตในภาพภูมเดิมกับภาพภูมิใหม่ เนื่องจากความตายและการเกิดใน 2 ภาพนี้มีตำแหน่งของสถานที่และเวลาที่แตกต่างกันดังนั้น จำเป็นที่จะต้องมี “นามรูป” ที่เป็นตัวเชื่อมโยงระหว่างนามรูปของสัตว์นั้นในภาพภูมิดเดิม กับนามรูปของสัตว์นั้นในภาพภูมิใหม่ที่อยู่ห่างกันออกไป ซึ่งในกรณีของพระอานาคามีประเภท “อนัตรปรินิพพาย” นั้นถูกอธิบายว่าเป็นพระอธิษฐานเมื่อสอบถามมนุษย์ในกามภูมิไปแล้วเปลี่ยนเข้าสู่กิเลสในอัตภาพก่อน แต่เนื่องจากมิฉะนั้นก็กล้าจึงสามารถปรินิพพานในอัตภาพนั้นได้เลย โดยยึดไม่ได้ไปปฏิสนธิโปรภาคิ อย่างไรก็ดีตาม นิกายที่อาศัยการเกิด-ดับอย่างต่อเนื่องของจิตจิตและปฏิสนธิ มาฉิบายความสิ้นสุดของชีวิตในสองภูกมอย่างเครวา ไม่สามารถถอยรับภาพที่มีกลางระหว่างจิตจิตและปฏิสนธิจิตนี้ได้ จึงปฏิเสธการมีอยู่ของอัตภาพและให้ความหมายของอัตภาพปรินิพพานแตกต่างออกไป ดังนั้น ด้วยแนวความคิดพื้นฐานที่แตกต่างของทั้ง 2 นายเอง ทำให้เกิดความแตกต่างในการทดีความหมายของพระสูตรที่มีเนื้อหาเชื่อมโยงถึงการมีนายชัวคราวหลังความตาย ซึ่งหนึ่งในประเด็นขอ้ใต้แย้งนี้คือ การอธิบายความหมายของอัตภาพปรินิพพายดังได้แสดงไว้แล้ว