ข้อความต้นฉบับในหน้า
ธรรมธาตา ววรรณวิจารณ์การทางพระพุทธศาสนา
ปีที่ 7 ฉบับที่ 2 (ฉบับรวบรวมที่ 13) ปี 2564
สังเกก เอกายาหarikะ โลโกตตรวจา กุกฏิกะ และมีศาสะกะตอนตัน
ต่างไม่ยอมรับมิธีเรื่องอันตรภาพ ซึ่งตรงข้ามกับฝ่ายของนิภายมิสาสะ
ตอนปลายและนิภายสวาดดิภา6 ส่วนในคัมภีร์กฏวัตถุตอง กว่าว่านิกายที่มีมิขัดแย้งกับฝ่ายเวรวา ยอมรับการมีอยู่ของ
ประกอบด้วยปีพุทธธิชนพานา สาเหตุการแตกนิกาย ถึงนิภายต่าง ๆ และมีวิธีธรรม
ของแต่ละนิกายน โดยต้นฉบับภาษาของคัมภีร์นี้ นักวิชาการสนับสนุน
ว่าน่าจะสูญหายไปแล้ว ส่วนฉบับแปลภาษาจีนมีอยู่ 3 สำนัก คือ ฉบับที่ใช้
ชื่อว่า อบัคร宗論 แปลโดยพระถังซำจังหรือพระเสวียนจัง(玄奘) ฉบับที่ชื่อว่า
部执異论 แปลโดยพระปรมาภา และฉบับที่ใช้ชื่อว่า “八部論” ที่ไม่ปรากฏนามของ
ผู้แปล ซึ่งทบทแปลภาษไทยของคัมภีร์สมยกโทปรับจัจรนี้ เมธี พัทธธิธรรม
ได้ทำการแปลจากต้นฉบับภาษาทิเบต (བསྟན་སྤྱོད་ཚིག) ซึ่งผ่านการตรวจชำระกับฉบับภาษาจีน
ทั้ง 3 สำนักออกมาเป็นภาษาไทย และตีพิมพ์ลงในวารสารธรรมาธีราย ในปี 2 ฉบับที่ 1 หน้า 67-103 และปีที่ 2
ฉบับที่ 2 หน้า 57-106 และปีที่ 4 ฉบับที่ 1 หน้า 93-127
6 เนื้อหาส่วนที่เกี่ยวกับอันตรภาพในคัมภีร์สมยกโทปรับจรฉบับที่
แปลโดยพระเสวียนจัง หรือ อบัคร宗論 เพียงแต่แสดงเอาไว้ว่านิกายโดยยอมรับ
หรือไม่ยอมรับแนวคิดเรื่องอันตรภาพบ้าง มันมีท้าวว่า “นิกายหยาหงัก”กะ
เอกวยาหากะ โลโกตตรวจวา และกุกฏิกะ” (大眾部,一說 saying, 說出世部,
雉尾部) มันมีว่ากว่า “都無中” คือ “ไม่มินตราภในทั้งหมด”(T49.16a3) นิกาย
มิสาสะตอนตัน(化地部宗) ก็มีว่ากว่า “定無中” คือ “ไม่มิตตราภพอย่างมั่นอน”(T49.17a2-3) ส่วนในภายที่อธิบายรับเรื่องอันตรภาพ ได้แก่ นักยสุวา-
สติวา(誡一切有部) ที่มีว่ากว่า “เพียง色定有中” หรือ “มีเพียงในภมมมิและ
รูปภมเท่านั้น ที่มูลตราภอย่างแน่นอน” (T49.16b20) และนิภายมิสาสะ
ตอนปลาย (化地部末宗) ก็เปลี่ยนมายอมรับว่า “อาณ中” คือ “มีอันตรภาพ
อยู่”(T49.17a16)