ข้อความต้นฉบับในหน้า
ตั้งแต่นำทรัพย์นั้นไปใช้สร้างฐานะให้ยิ่งๆ ขึ้นไป
นำไปเพื่อบำรุงพระพุทธศาสนา นำไปเลี้ยงดูพ่อแม่
ตอบแทนบุญคุณท่านอย่างดีเยี่ยม และนำไปสร้าง
บุญใหม่ให้พิเศษต่อการบรรลุมรรคผลนิพพาน
อย่างยิ่งๆ ขึ้นไป การใช้ทรัพย์แบบนี้ เรียกว่า “เอา
บุญมาต่อบุญ เอาสมบัติมาต่อสมบัติ” ซึ่งเกิดจาก
การอธิษฐานจิตใช้ทรัพย์ไว้อย่างรอบคอบ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า การอธิษฐาน
นั้นเป็นหนึ่งในบารมีทั้งสิบทัศของพระองค์ เพราะ
ช่วยให้พระองค์ท่านสามารถบำเพ็ญบารมี หรือสร้าง
ความดีได้อย่างรัดกุม ไม่มีผิด ไม่มีพลาด บุญบารมี
จึงสามารถส่งผลให้พระองค์มาตรัสรู้เป็นพระสัมมา
สัมพุทธเจ้าได้สำเร็จ
ถ้าจะเปรียบเทียบให้เข้าใจง่ายขึ้นก็คือ “คำ
อธิษฐาน” เป็น “แผนงานระยะยาวในการประกอบ
ความดี” ส่วน ที่ทำได้นั้น เป็น “งบประมาณ
“บุญ”
สนับสนุนแผนงานระยะยาวนั้นให้สำเร็จลุล่วง” เมื่อ
เรามีทั้งแผนงานและงบประมาณแล้ว โอกาสจะผิด
พลาดในเส้นทางการสร้างบารมีก็เกิดขึ้นได้ยาก
ทุกวินาทีมีไว้เพื่อสร้างบุญ
เมื่อพวกเราเห็นภาพชัดเจนตรงกันอย่างนี้
เนื่องจากเรายังไม่หมดกิเลส ก็ขอให้ตระหนักอยู่
เสมอว่า แต่ละวันที่ผ่านไป แต่ละวินาทีที่ผ่านไป
โอกาสที่เราจะคิดดี พูดดี ทำดี ให้เกิดเป็นบุญ
ก็มีพอ ๆ กับโอกาสที่เราจะคิดร้าย พูดร้าย ทำร้าย
ให้เกิดเป็นบาป
บุญและบาปที่เราเคยสร้างเอาไว้นั้น ย่อม
สะสมเก็บไว้อยู่ในใจของเรานั่นเอง
บุญที่สะสมเอาไว้ในใจ ก็เหมือนกับการมี
เสบียงไว้ใช้ทำความดีต่อไปจนกว่าจะขจัดกิเลสได้
หมดสิ้นอย่างนั้น
ส่วนบาปที่เคยทำเอาไว้ข้ามภพข้ามชาติก็ไม่
หายไปไหน มันคอยตามตัดรอน คอยตามบีบคั้น
ทําลายโชคลาภ ทำลายชีวิตของเราต่อไปอีก
ปู่ย่าตาทวดท่านอุปมาเอาไว้ว่า บุญที่เราทำ
เอาไว้ก็คอยให้ความสุข ความร่มเย็นเหมือนเงาที่
คอยตามตัวเรา แต่บาปที่เราทำเอาไว้ มันเหมือน
อย่างกับสุนัขล่าเนื้อที่คอยตามขยำขยี้เนื้อนั้นเช่นกัน