ข้อความต้นฉบับในหน้า
บารมี คือ ความดีงามยิ่งยวด เป็นธรรรม
อันลึก ธรรมอันประเสริฐ ที่พระบรมโพธิสัตว์
ต้องนำเอาพุ่งสมไปโดยลำดับ เพื่อจะตรัสรู้
เป็นพระสัมมาสุทธเจ้า บารมี ๑๐ ประการ
หรือเรียกว่า บารมี ๑๐ ทัศ คือ
๑. ทานบารมี คือ การให้ทาน
๒. สีลบารมี คือ การละเว้นบาปและ
ความชั่วทั้งปวง
๓. เนกขัมบารมี คือ สละการฟั้นในเรื่องกาม เรื่องครอบครัว แล้วหลีกเร้น
แหลงทางหลุดพ้น
๔. ปัญญาบารมี คือ การสะแลงหา
ความรู้ที่นำไปสู่ความหลุดพ้น
๕. วิริยะบารมี คือ ความมุ่งมั่นเพียร ไม่ท้อถอย กล้าหาญกล้าอุปถัมภ์
๖. บัณฑิตบารมี คือ ความอดทน อดกลั้น
ต่อสิ่งที่น่ำยึดดีและไม่น่าดี
๗. สัจจะบารมี คือ ความตั้งใจมั่นที่จะ
ทำความดี
๘. อธิษฐานบารมี คือ การตั้งความปรารถนาเพื่อบรรลุเป้าหมายในทางของความดี
๙. เมตตาบารมี คือ ความปราราณาดีต่อสรพัสต์ตัวหลาย
๑๐. อุเบกขาบารมี คือ ความวางเฉยต่อสุขและทุกข์ หรือมีความยุติธรรม ไม่เลือกที่รัก
มิพักผ่อน บารมีทั้ง ๑๐ นี้เป็นสิ่งที่พระโพธิสัตว์ ต้องสั่งสมมาหลายภพหลายชาติจิตเป็นนิสัย ซึ่งหากมองในแง่ของการกระทําที่ปรากฏ แท้จริงก็คือ นิยะที่ดีเลิศ ๑๐ อย่างนี้เอง ซึ่งเริ่มต้นจากการสั่งสมทศีล ภาวนา มาอย่าง ต่อเนื่อง จนกระทั่งบังเกิดขึ้นในระดับที่เกิด สมมุติอ จจะอย่างเหนียวแน่น เกิดความเข้าใจที่ ถูกต้องในเรื่องโลกและความเป็นไปของชีวิต วา เป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ ไม่เที่ยงแท้แน่นอน จึงนำไปสู่การตั้งเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ที่จะทำ พระนิพพานให้แจ้ง เพื่อให้หลุดพ้นจากทุกข์ ในวันนี้มีใจใหมได้ ๑๐ ทัศ คือ พระเดชพระคุณพระบรมจุตเทพมุนี (สด จนบุโลก) หลงปู่วัดโนนำ้ ภูเขาจินู ให้คำ อธิบายเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของ “บุญ” กับ “บารมี” ในทางปฏิบัติ อันเกิดจากการเห็นด้วยธรรม- จักบุญว่า บารมีนั้นเป็น “ดวง” ซึ่งล้นมาจาก ดวงบุญ ที่ดั่งการสั่งสมคุณงามความดี อย่างต่อเนื่อง จากดวงบารมี ก็กลั่นเป็นดวง อุปบารมี และจากดวงอุปบารมี ก็กลั่นเป็นดวง ปรมัตบารมี ดังปรารถนาในพระธรรมเทนาของท่านในเรื่อง “ของที่ได้ดวยยา” ดังนี้ “แต่บารมีหนึ่ง ๆ กว่าจะได้เป็นบารมี นะ ไม่ใช่เป็นของง่าย ท่านบารมีเต็มดวงนะ ดวงบุญที่เกิดจากการบำเพ็ญทาน ได้เป็นดวง บุญ ดวงบารมีใหญ่โตเล็กเท่าไรไม่ว่า สร้างไป เถอะ ทำไปเถอะ แล้วเอาดวงบุญนี้มากลั่น เป็นบารมี ดวงบุญมากลั่นเป็นบารมีนะ บารมีนี้หนึ่ง เต็มเปี่ยมเท่าดวงจันทร ดวงอาทิตย์ที่เดียว เอามากลั่นเป็นบารมีได้ นี่เดียวเท่านั้นเอง กลมรอบตัวเท่านั้น และกลั่นไปอย่างนี้แหละ และบารมี ไปจนกว่า บารมีนั้นจะเต็มส่วน แล้วก็จะมีที่จะเป็น อุปบารมี เอาบารมีนั้นแหละ คิ่นหนึ่งเต็มส่วน อามาณังเป็นอุปบารมีได้ในที่สุดิเอง