ข้อความต้นฉบับในหน้า
ธรรมะรา
วาสวิสวิชาการทางพระพุทธศาสนา ปีที่ 5 ฉบับที่ 1 (ฉบับรวมเล่มที่ 8) ปี 2562
ไม่ตํอยู่ภายใต้การตอบรับของนิวรณ์ ในส่วนนี้เป็น สมมติฐาน
2. การใช้วิปัสสนามัชฌิมสร้างความสมดุลในจิต กล่าวคือ วิธีทำให้เกิดการเห็นแจ้งด้วยปัญญาต่อสภาวะที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง ไม่ใช่เห็นไปตามที่วาดภาพให้มันเป็น ด้วยความชอบ ความชัง ความอยากได้หรือความขัดใจของเรา รู้แจ้งชัดเข้าใจจริง จนถอนได้ ความหลงผิด รู้ดี และยึดติดในสิ่งทั้งหลาย ได้ถึงขั้นเปลี่ยนท่าทีคือโลกและชีวิตใหม่ ทั้งๆ ที่แห่งการมอง การรู้ การวางจิตใจ และความรู้สึกทั้งหลาย ความรู้ความเข้าใจถูกต้อง ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่อยๆ ในระหว่างการปฏิบัตินั้นเรียกว่า ญาณ มีหลายระดับญาณสำคัญในขั้นสุดท้ายเรียก ว่า วิชชา เป็นภาวะตรงข้ามที่กำจัดวิชชา คือความหลงผิดไม่รู้แจ้งไม่รู้จริง
กระบวนการปฏิบัติเพื่อเป็นวิปัสสนานั้นก็คือ กระบวนการที่อยู่ในอานาปานสติและสติปัฏฐานขั้นที่เป็นธรรมานุปัสสนา โดยใช้ธรรมานุปัสสนาในการพิจารณาเห็นความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เห็นความเกิดดับ เห็นสภาวธรรมตามความเป็นจริงโดยปราศจากตัณหา เข้ามาเป็นตัวกำหนด สภาวะแห่งปฏิจจสมุปบาทโดยปฏิโลมปรากฏขึ้นเมื่อผสะแดง เวทนาก็ดับ ต้นหาก็ดับ อุปาทานดับ...ทุกข์...ก็ดับ เมื่อขึ้นจึงได้ชื่อว่า จิตติวิภวอย่างสมบูรณ์ วิปัสสนาจึงทำให้จันหลุดพ้นได้ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า "กิฏฐังทั้งหลาย จิตที่เศร้าหมองด้วยราคะ ย่อมไม่หลุดพ้น หรือปัญญาที่เศร้าหมองด้วยอวิชชา ย่อมเจริญไม่ได้ ด้วยประการดังนี้เพราะสำเร็จอภาคะได้จึงมีเจโตวิถีมิติ เพราะสำอภอวิชาได้จึงมีปัญญาวิวุธิต"22 เมื่อพิจารณาขององค์กรธรรมทำให้เกิดเป็นปัญญาขึ้น นั่นก็คือ สติ สมาธิญาณ และความเพียร (อาตมาภิ สมนฺฺทาใน สติมา) ตามหลัก
22 องฺ ทุก. 20/275-276/77-78