ข้อความต้นฉบับในหน้า
ตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน พระพุทธศาสนาได้ยังรากลึกลงในประเทศไทย ชนชาติไทยคุ้นเคยกับศาสาจารวัตรอันงดงามของพระภิกษุสงฆ์ จนชินซับและถ่ายทอดวิทยามารยาทที่มนุษย์นั้นไปอบรมสั่งสอนลูกหลานสืบต่อกันมา
“เสรีวัตร” จึงเปรียบเสมือนเพรงน้ำหนึ่ง ที่ทำให้คนไทยเป็นคนพิเศษ มีความน่ารัก นุ่มนวล ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่เป็นขนบชาติดีอัน จึงสมควรที่ลูกหลานไทยยุคปัจจุบันจะต้องกลับมาบบทบททวนอีกครั้งหนึ่ง เพื่อศึกษาสมบัติวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าและเป็นเอกลักษณ์ของชนชาวไทย
ต้นบัญญัติของมารยาทไทย
เรื่องที่นำมาฝากในวันนี้ คือ “บ่อเกิดของมารยาทไทย”
เราสัญลักษณ์กันมานานว่า มารยาทไทยตลอดจนนิ่มนวลที่เราใช้อยู่ ซึ่งมีความแตกต่างไปจากชนชาติอื่นและมีความทันสมัยอยู่ตลอดเวลา แล้วจึงเป็นที่ประทับใจองค์กว่าผัน ได้มา จากไหนกันแน่ ก็พบว่า มารยาทและบรรณธรรมเนียมประเพณีไทยได้มาจากพระพุทธศาสนา มารยาทไทยที่จะกล่าวถึงในวันนี้เป็นการยกเอา “หมวดพระวินัย” หมวดหนึ่งในวินัยของพระสงฆ์ ที่เรียกว่า “หมวดเสรีวัตร” ด้วยมารยาทอันงดงามของพระภิกษุ ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงนำมากจากมารยาทของขัติยะ เพราะพระองค์ทรงเป็นเจ้าขายในราชวงศ์ของกรุงกสิลประเทศก่อน
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงนำมารยาทของพระธรฅีดีงามมารวมกับมารยาทของนักบวชที่ดำรงในยุคนี้ ซึ่งพระองค์ทรงพิสูจน์มาแล้วว่าดีจริง ๆ แล้วทรงปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติม จนกลายเป็นมารยาทของพระภิกษุ จากนั้นได้กลายมาเป็นมารยาทของชาวไทยเราด้วยก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจเสียก่อนว่าทำไมจึงต้องฝึกมารยาทกัน เหตุผลในเบื้องฐานก็คือ
1. เพื่อปกปิดความไม่งามในร่างกายของเรา
2. เพื่อป้องกันการกระทบกระทั่งกัน
ในตัวของเรานั้นดูใด ก็ไม่ว่าจะงาม แรงเหมือ ใบ่ลามที่ออกจากตัวเรา แม้เสียงที่ออกจากตัวเรา จริง ๆ แล้วไม่ควรล้ยง และน่าจะอิดกับแย่โฟนทั้งนั้น น้ำที่ออกมาจากตัวเรา เช่น น้ำลุก น้ำเสียวเมอร์ไง หรือ น้ำลาย ลองใครวันน้ำลายให้เราดัง สักอ้าย จำก็ไม่เอา เคืองตายเลย ที่เห็นจะพอดูกับน้ำตาของบางคน ดูสวยดี หยดเหมือนน้ำค้าง แต่พอเข้าไปใกล้ไม่ไหว ยิ่งน้ำปัสสาวะเล็กพูดกัน นี่คือของเหลวที่ออกจากร่างกาย เอาเข้า จริง ๆ จัง ๆ แล้ว น่าสะอิดสะเอียน ของเล่นที่ออกจากร่างกายยิ่งไม่ต้องอับาย ของตัวเอง ยิ่งสนิทเกลียว ยิ่งรำคาญเลย ออกมาแล้วต้องรีบล้างรีบเช็ด