ธรรมะาภาวาสบัณฑูรภาพพระพุทธศาสนา การศึกษาวิเคราะห์จตุษโกฏิประเภทยืนยันของพระนาคารชุนในคัมภีร์ มูลมัธยมกการิกา หน้า 7
หน้าที่ 7 / 31

สรุปเนื้อหา

บทความนี้นำเสนอความแตกต่างระหว่างคำสอนของสำนักสรวงสวรรค์และคำสอนของพระพุทธเจ้าในยุคแห่งการเผยแผ่พระพุทธศาสนา จุดที่น่าสนใจคือการยืนยันการมีอยู่ของสสารและจิตในแบบที่แตกต่างจากแนวความคิดเรื่องอนัตตาที่เน้นความไม่มีแก่นสารในธรรม โดยสำนักสรวงสวรรค์เห็นว่าจิตและอัตถูกดีมีอยู่และเชื่อมโยงกันตลอดเวลา ทำให้เกิดข้อสังเกตถึงความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นระหว่างคำสอนต่างๆ ในอดีต

หัวข้อประเด็น

-ประวัติพระพุทธศาสนา
-คำสอนในยุคนั้น
-ความเชื่อและปรัชญา
-ความขัดแย้งระหว่างสำนัก

ข้อความต้นฉบับในหน้า

ธรรมะาภา วาสบัณฑูรภาพพระพุทธศาสนา ปีที่ 4 ฉบับที่ 2 (ฉบับรวมเล่มที่ 7) พ.ศ. 2561 บทนำ หลังยุคพระพุทธศาสนารุ่งเรืองในสมัยของพระเจ้าธรรมราษฎร์ (300 ปี ก่อนคริสต์ศักราช) เกิดการแตกแถวออกไปเป็นจำนวนมาก ในยุคนั้นนิยามหนึ่งที่มีแนวคำสอนที่ค่อนข้างโดดเด่นคือ นิยายสรวงสวรรค์หรือสพัตติภาวนา ซึ่งถือว่า สังทั้งปวงไม่ว่ารูปธรรมและนามธรรม หรือวัตถุกับจิต มีจริง นิยายนี้ได้แนวปรัชญาตามอรรถถกกล่าวว่า ชื่อวาระซึ่งมีชื่อเต็มว่าอัครกิจมหาวาท ของคัมภีร์ร้อย อริยธรรมนปรัชญาเป็นหลัก จึงก็ถือชื่อหนึ่งว่า ไวภา โดยสำนักนี้ยอมรับว่ามีธรรมทั้งหลายมีอยู่จริง มีอยูตลอดเวลา ทั้งในอดีปัจจุบัน และอนาคต ทำให้สรวงสวรรค์เป็นสำนักที่มีคำสอนยืนยันการมีอยู่ของกฎหมายธาตุหรือสสาร ซึ่งคล้ายคลึงกับคำสอนในแนวอัตถิยกลุ่มที่เชื่อว่าพระเจ้ามีผู้สร้างสรวงสวรรค์2 ปัญหาที่เกิดจากกายยอมรับว่ามีอยูของสสารของสำนักสรวงสวรรค์ ทำให้สำนักมัญญะเชื่อว่า อาจทำให้เกิดความขัดแย้งกับคำสอนของพระพุทธเจ้เรือง “อนัตตา” ซึ่งเป็นประเด็นที่กีดกันระหว่างสำนักต่างๆ ในสมัยนั้น โดยการไปเชื่อกันว่า “อนัตตา” มึงถึงความไม่มีแก่นสารในธรรมใดๆ แต่ดูเหมือนสำนักสรวงสวรรค์มีจุดยึดในทิศทางที่ตรงกันข้าม โดยเห็นว่าจิตดีหรืออัตถูกดี เป็นสิ่งที่มีอยู่ตลอดเวลาและส่งผ่านจากอดีตสู่ปัจจุบันและอนาคตตามลำดับ ทำให้เอื้อต่อการดีความว่า แต่ละขณะมีความเชื่อมโยงกันอย่างเหนียวแน่น ซึ่งเป็นลักษณะของแก่นสารบางอย่าง (การยืนยันว่าสภาวะมีอยู่ในลักษณะเที่ยงแท้กว่ามายความมีฐานในงายง)
แสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก
Login เพื่อแสดงความคิดเห็น

หน้าหนังสือทั้งหมด

หนังสือที่เกี่ยวข้อง

Load More