ข้อความต้นฉบับในหน้า
ธรรมธารา
วาสนาอิวีวรภาพพระพุทธศาสนา ปีที่ 4 ฉบับที่ 2 (ฉบับรวมเล่มที่ 7) พ.ศ. 2561
เร่วาวัตด้วยเช่นกัน แต่ขณะเดียวกันอาจมีผู้แย้งว่า การเกิดขึ้นของคัมภีร์ชั้นอรรถถกถาก่อนหลังแนวคิดของสำนักมัยมะ (รว 700 ปีหลังพุทธกาล) ขณะทีพระพุทธโฆษาจารย์เรียบเรียงอรรถถกถาก่อน 900 ปีหลังพุทธกาล เป็นไปได้หรือไม่ว่า พระพุทธโฆษาจารย์อาจได้รับอิทธิพลความคิดมาจากสำนักมัยยะ ประเด็นสำคัญที่สามารถได้แย้งแนวคิดข้างต้นคือ เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่าพระพุทธโฆษาจารย์ไม่ได้เป็นผู้จาถอรรถกถาในชั้นพระไตรปิฎก แต่เป็นเพียงผู้แปลและเรียบเรียงจากภาษาสิงหลมาเป็นภาษาบาลี เพราะฉะนั้นแนวคิดย่อมมีก่อนตั้งแต่ต้นโนราณอรรถก คือเกิดขึ้นนาวคริสต์ศตวรรษที่ 200³ หรือประมาณ 700 ปีหลังพุทธกาล ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับการเกิดขึ้นของสำนักมัยมะ ดังนั้นการจะบอกว่าสำนักได้ได้รับอิทธิพลมาจากสำนักโดยอ่อนกว่าได้โดยยาก แต่หากจะกล่าวว่าแนวคิดนั้นเป็นแนวคิดที่เป็นที่ยอมรับของทั้งสองนิกายน แนวคำตอบนี้น่าจะเป็นแนวคิดที่ประมาณที่ดีที่สุด
กล่าวได้ว่า เจษฏโกลของพระนาคาราชุนไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อหักล้างทัศนะแห่งสำนักอื่น แต่ยังคงมีทัศนะยืนยันแนวคิดของตนซึ่งยึดถือว่าเป็นทัศนะที่เป็นไปตามคำสอนของพระพุทธเจ้า สอดคล้องกับแนวคิดของพื่น ดอกบัว³ ที่ว่า “ท่านพระนาคาราชุนถือว่าสมมติจฉะแม้จะไม่จริงแท้ แต่ถือเป็นความจริงระดับหนึ่ง สังกัดๆ มีอยู่จริง เพียงแต่มีอยู่จริงไม่จงแต่จุดเจาะคน หรือตุปลัธญาเพสใดที่ว่า โลกจำลองมาจากภาพ อีกทั้งเป็นพื้นฐานของปรมัตถ์สัจจะกล่าวคือ คนนะเข้าใจปรมัตถ์สัจจะ จะต้องผ่านการเข้าใจสมมติสัจจะมาก่อนดูการขั้นบันไดแต่ละขั้นก็จะสูงขึ้นไปตามลำดับจนไปถึงจุดหมายที่ต้องการ ดังนั้นปรมาณกว่านี้ก็จะจริงก็ไม่ใช่และจะว่าไม่จริงก็ไม่ใช่จะว่าแท้จริงและไม่จริงก็ไม่ใช่และจะว่าไม่จริงก็ไม่ใช่และจะว่าไม่จริงก็ไม่ใช่
32 Mizuno (1964:17-40) อ้างใน พระมหาพงศ์กดิ์ ตุณโย (2558:165)
33 ฟื้น (2555: 379-380)