ข้อความต้นฉบับในหน้า
ประโยค - อธิบายบาลีไวยากรณ์ สมัญญาภิธานและสนธิ - หน้าที่ 18
เป็น อ ข้างหนึ่งเป็น อิ หรือ อุ ก็ดี, ข้างหนึ่งเป็น อิ ข้างหนึ่งเป็น อุ
หรือ อ ก็ดี, ข้างหนึ่งเป็น อุ ข้างหนึ่งเป็น อ หรือ อิ ก็ดี, เมื่อลบสระ
หน้าแล้ว ไม่ต้องทีฆะก็ได้ เช่น จตุหิ-อปาเยหิ เป็น จตูปาเยหิ
ค. ถ้าสระทั้ง ๒ เป็นรัสสะมีรูปเสมอกัน คือ เป็น อ หรือ อิ
หรือ อุ ทั้ง ๒ ตัว เมื่อลบแล้ว ต้องทำสระที่ไม่ได้ลบด้วยทีฆะสนธิที่
แสดงไว้ข้างหน้า เช่น ตตฺร-อยู่ เป็น ตตฺราย เป็นต้น
ง. ถ้าสระหน้าเป็นทีฆะ สระเบื้องปลายเป็นรัสสะ เมื่อลบสระ
หน้าแล้ว ต้องทีฆะสระหลัง เช่น สทฺธา อิธ เป็น สทฺธีธ เป็นต้น.
เมื่อจะกล่าวโดยย่อ ก็คือ ถ้าลบสระสั้นที่มีรูปไม่เสมอกัน ไม่
ต้องทีฆะสระสั้นที่ไม่ได้ลบก็ได้, ถ้าลบสระสั้นที่มีรูปเสมอกัน หรือลบ
สระยาวที่มีสระสั้นอยู่เบื้องปลาย ต้องทีฆะสระนั้นที่ไม่ได้ลบ
ส่วนลบสระหลังนั้น มีกฎเกณฑ์วางไว้จำกัด คือ สระหน้าและ
สระหลังทั้ง ๒ ตัว ต้องมีรูปไม่เสมอกัน จึงลบได้ และเมื่อต่อกันเข้า
แล้ว ไม่ต้องทีฆะสระสั้นที่ไม่ได้ลบก็ได้, ถ้าลบสระสั้นที่มีรูปเสมอกัน หรือลบ
สระยาวที่มีสระสั้นอยู่เบื้องปลาย ต้องทีฆะสระสั้นที่ไม่ได้ลบ
ส่วนลบสระหลังนั้น มีกฎเกณฑ์วางไว้จำกัด คือ สระหน้าและ
สระหลังทั้ง ๒ ตัว ต้องมีรูปไม่เสมอกัน จึงลบได้ และเมื่อต่อกันเข้า
แล้ว ไม่ต้องทีฆะสระสั้นที่ไม่ได้ลบ เช่น จตฺตาโร = อิเม เป็นจตุตาโรเม
นี้ลบ อิ ที่ศัพท์หลัง คือ อิเม เสีย, กินนุ อิมา เป็นกินนมา นี้ลบ อิ
ที่ศัพท์หลัง คือ อิมา เสีย และไม่ต้องทีฆะ อุ ที่ศัพท์หน้า, นิคคหิต
อยู่หน้า ลบสระหลังบ้างก็ได้ เช่น อภินนท์ = อิติ เป็น อภินนฺทุนุติ นี้
ลบ อิ ที่ศัพท์หลัง คือ อิติ แล้วแปลง นิคคหิตเป็น น.
อุ
Bฬอาเทโส มี ๒ คือ แปลงสระหน้า ๑ แปลงสระหลัง ๑.
แปลงสระหน้านั้น ดังนี้ :-
ถ้า อิ เอ หรือ อุ โอ อยู่หน้า มีสระอยู่เบื้องหลัง แปลง อิ เอ หรือ