การศึกษาหลักไวยากรณ์และคาถาในพระพุทธศาสนา แบบเรียนบาลีไวยากรณ์สมบูรณ์แบบ เล่ม 1 หน้า 31
หน้าที่ 31 / 59

สรุปเนื้อหา

บทความนี้สำรวจสาระที่สำคัญของอาสนะในหลักไวยากรณ์ โดยเน้นการใช้คาถาและข้อควรระวังต่างๆ ในการจัดรูปประโยค จากนั้นยังมีการอธิบายเกี่ยวกับการใช้คำว่า 'สนิษ' ที่เกี่ยวข้องกับอาสนะ พร้อมตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงความถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ และการอ้างอิงถึงคาถาอธิษฐาน เพื่อนำไปใช้ในปฏิบัติการทางศาสนา การวิเคราะห์ทางไวยากรณ์นี้สามารถนำไปใช้ได้ทั้งในด้านศาสนาและการศึกษาภาษาไทย โดยการใช้คำที่มีความหมายเกี่ยวข้องกับหลักการและการปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า

หัวข้อประเด็น

-หลักไวยากรณ์
-การใช้คาถา
-สาระของอาสนะ
-การวิเคราะห์คำภาษาศาสตร์
-การอ้างอิงในพระพุทธศาสนา

ข้อความต้นฉบับในหน้า

แนบคำ OCR ที่ได้จากภาพนี้ สนิท แบบเรียนบาบใว้การสมบูรณ์แบบ 13 15. ในหลักไวยากรณ์ ท่านอธิบายเกี่ยวกับสาระที่สำคัญของอาสนะไว้ อย่างไร? ก. สาระที่สุดของอาสนะไม่มียามทสันนิษ เช่น สรีร+อุจฺจิ สนิษเป็น สรีรภูติ+อติ สนิษเป็น สรีรภูติ อย่างนี้ถือว่าผิด หลักไวยากรณ์ ข. สาระที่สุดของอาสนะทำไมได้ดี อติ สภาอยู่หลัง เช่น สารูปุตฺ+อติ สนิษเป็น สารูปุตฺตฺ อย่างนี้ได้ตามหลักไวยากรณ์ ค. สาระที่สุดอาสนะทำไม่ได้ ถ้าประสบจะรักษาลักษณะทางฉันตามหลักฐาน เช่น บาทคา วํนฺ Tes พุทวิฤาๆ ระหว่าง พุทวิฤ+อาติ ทำสนธิกนได้เพราะต้องการรักษาลักษณะฉันหลักฐาน ง. ทุกข้อความได้ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ 16. คาถา อธิบาย สนิษเป็น คาถาอธิษฐาน ภาวา เอกเทาว สนิษเป็น คาถาเทาว และ โก มํ สนิษ เป็น กม การทำสงครามดังกล่าวคืออุปบาทได้เพราะรองศาสนาไม่ได้ให้งบได้ เช่น คาถาอธิษฐาน ก็ลงเป็น คาถา อธิษฐาน ง. สาระหน้าเป็นสาระที่สามารถใช้เป็นคาถาได้เพราะสาระนี้ได้ เช่น คาถาอธิษฐาน ถ้าสนใจบังทะลังใช้เป็นคาถาสมาท่านอนุญาตให้ท่าสละสนิษได้ เช่น ชิวหา+อายตฺตา ตามหลักคำสอนก็ไม่ได้เพราะสาระหน้าเป็นอย่าง แต่อีกษรนั้นแล้วใช้เป็นคาถาได้ สมนาให้ท่าสนิษได้ เพราะฉะนั้นจึงสนิษเป็น คาถา จ. สาระหน้าเป็นสาระที่ตามหลักฐานสนิษไม่ได้ แต่ถ้าถิศพัทธ์เหล่านี้ คือ อ. อติ อ. อุ. อว. เวอ เป็นต้นอยู่สูง ให้ท่าสละสนิษได้ เช่น ๐-อิ-๓ ตามหลักและจะท่าสนิษไม่ได้ เพราะไม่เป็นัญศัพท์มา แต่ถ้า อว อยู่หลังท่าสนิษได้ จึงสนิษเป็น เดป 17. ทุกข้อความได้ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ ตอบ: คำถามที่ได้ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์? ก. อิ อุ อักษรซึ่งเป็นที่สุดของนามวงอยู่หน้า มีริยาเป็นอดีตวามอยู่หลัง ไม่นิยมสนิษให้คงเป็นปกติไว้ เช่น สตกฺ อาสา คงเป็น สตกฺ อาสา ข. แต่บางคำฟัง เช่น มสนิ+อาสิ สนิษเป็น มสนาสกา ถึงแม้สาระที่สุดของนามจะเป็น อิ อักษรและมีริยาที่เป็นอดีตวามอยู่หลัง ตามหลักแล้วจะไม่ยอมสนิษ แต่คำที่สนิษสามารถสนิษกันได้ เพราะมีไว้ในพระพุทธเจ้า ค. ลู อคมลงหลังสาระได้ ถ้าหมู่ ลั จงอยาเป็นบทหน้า ง. ที่กล่าวมานี้ ใช้ได้ตามหลักไวยากรณ์ทั้งหมด อ้างอิง ทิฎฺฐิอุปาทาน มีภูมิสระสิยา แปลว่า อู เป็น โอ ได้มั้ย เพราะเหตุใดสงสัยกันโดยการรวบรวมหน้าเป็น ทิฎฺฐิอุปาทาน จะสนิษกันเป็น ทิฎฺฐิอุปาทาน ได้หรือไม่? ก. สถานเป็น ทิฎฺฐิอุปาทาน ไม่ได้เพราะการแปลว่า อู เป็น โอ สระหน้าต้องเป็น อ. อักขร และมีริยาที่เป็นอดีตวามอยู่หลัง ตามหลักแล้วจะไม่ยอมสนิษ แต่คำที่สนิษสามารถสนิษกันได้ เพราะมีไว้ในพระพุทธเจ้า ข. สถานเป็น ทิฎฺฐิอุปาทาน ได้ แต่เพียงไมไ่ม่ใช้ในพระบาลีเท่านั้น จ. สถาณั้นเป็น ทิฎฺฐิอุปาทาน ได้ เพียงแต่ไม่มีไว้ในพระบาลีเท่านั้น สนิษเป็น ทิฎฺฐิอุปาทาน ไม่ได้เพราะการเปล่ง อุ เป็น โอ สระหน้าต้องเป็น อ. อักขร ต้องเป็น แต่มิสนิษสามารถสนิษกันได้
แสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก
Login เพื่อแสดงความคิดเห็น

หน้าหนังสือทั้งหมด

หนังสือที่เกี่ยวข้อง

Load More