ข้อความต้นฉบับในหน้า
บทที่ ๒ สนธิ
สนธิ คือ การต่ออิทธิฐิให้เนื่องกันด้วยอิทธิฐิ เช่น สระต่อกับสระ สระต่อกับพยัญชนะเป็นต้น เพื่อทำอิทธิฐิให้เหลือเป็นประโยชน์ในการแต่งคำ และทำคำพูดให้ลื่นไหล
ข้อแตกต่างจากสมาส
นักศึกษาต้องทำความเข้าใจก่อนว่า สมาส คือ การย่อที่มีวิธีตั้งแต่ ๒ บทขึ้นไปซ้ำกันเป็นสมาสเดียวกัน เช่น ราชบุตรโด เป็นยุบเป็น ราช กับ บุตร คือ พระราชบุตรโยธรม เมื่อเข้ามาเป็นสมาสแล้ว เหลือเพียงความหมายว่าพระราชโยธนั่น หรือ ถ้าไม่ความหมายเป็นสิ่งเดียวกัน ก็อธิราชหรือเท่าที่สมาคมโดยความเป็นศัพท์เดียวกัน เช่น มาตุวิไล โครงการและบังไกไม่ได้กล่าวหมายเอาเฉพาะฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ดังนั้น สมาส จึงเป็นการสร้างคำใหม่โดยการนับตั้งแต่ ๒ บทขึ้นไปอธิราชกันคิดความหมายใหม่ เช่น กนโนะ สโลป มีความหมายเป็นดำ และ งู เมื่ออธิธานเป็นกนโนะ ก็คือคำและ อาสา เมื่อสร้างคำเป็นสมาสก็เป็นคำต่อกันเป็น กนโนะ โหมายถึงกิฎฐ์ที่มดอาคารเฉลยแล้ว ไม่ได้หมายถึงการสิ่งไปและอาสะสีนี้ไป
สนธิมีข้อแตกต่างจากสมาสก็คือ ไม่สามารถรวมความหมายที่อธิธานนี้ให้เป็นคำเดียวกันความหมายเป็นอันเดียวกันได้ ไม่สามารถบวิกิตออกเมื่อทำการสนธิกัน ดังนั้น สนธิ จึงเป็นการต่ออิทธิฐิให้สั้นเพื่อการอ่านออกเสียงได้ไหลเราสะสละสวยงาม เช่น ยุสส อิทธิฐิาน จะอย่โดยการติด ส วัดติ ออกจาก ย ศพท์เหมือนสมาสไม่ได้ และระหว่าง ยุสส กับ อิทธิฐิาน เมื่อสนธิกันแล้ว ก็ไม่เกิดเป็นคำที่มีความหมายใหม่ขึ้นมา ยังคงความหมายเดิมของคำที่ไว้ว่า อิทธิฐิของบุคคลใด จึงสนธิเป็น ยุสสานุริยาน เมื่อจะแปลต้องตัดคำออกมาเปน ยุสส อินทรีย์นั่น โดยที่ ราชบุตร ก็ยังเป็นสมาสมื่อเปนแปลไม่ต้องตัดคำออกมาแปลเป็น รถโณ บุตโต
หลักสนธิแบ่งออกเป็น ๔ กลุ่ม
๑. สระสนธิ การต่ออิทธิฐิโดยอาศัยสระเป็นเหตุหรือทัศนะโดยการเชื่อมด้วยสระ
๒. ปกติสนธิ การต่ออิทธิฐิโดยให้คงเป็นปกติไว้ พร้อมทั้งข้ออ้างและข้ออนุญาตการทสนธิ
๓. พยัญชนะสนธิ การต่ออิทธิฐิโดยอาศัยพยัญชนะเป็นเหตุหรือทัศนะโดยการเชื่อมด้วยพยัญชนะ
๔. นิคิดสนธิ การต่ออิทธิฐิโดยอาศัยนิคิดเป็นเหตุหรือทัศนะโดยการเชื่อมด้วยนิคิด
ข้าเจ้า สรุปปฏิทธการทำสนธิจากัันกลั้นก็ทรงปลุสิทธิ เลือกเฉพาะกฎเกณฑ์ที่เห็นสำคัญ ๆ และมีใช้อย่างนั้น หากศึกษามแบบเรียบง่ายจบแล้ว พึงศึกษามีสิทธิทำสนธิออกเป็นแบบโดยพิสดารเกิด