มหาเสนาบดี ผู้ยิ่งใหญ่ ตอนที่ 10
เรียบเรียงจากรายการโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยาฝันในฝัน
หลับตาฝันเป็นตุเป็นตะ ตื่นขึ้นมาหาว 1 ที
แล้วก็นำมาเล่าให้ฟังเป็นนิยายปรัมปรากันนะจ๊ะท่านมหาเสนาบดีก็ได้ชวนเพื่อนๆ ในกลุ่มของท่านไปเที่ยวงานเทศกาลฉลองประจำปีซึ่งจัดขึ้นที่เมืองเกิดของท่านเมื่อเหล่านักเรียนเตรียมทหารทั้งหลายได้ตั้งใจฝึกฝนร่ำเรียนวิชาทหารกันมาอย่างตลอดต่อเนื่องจนกระทั่งมาถึงช่วงปิดภาคเรียนของโรงเรียนเตรียมทหาร นักเรียนเตรียมทหารแต่ละคนต่างก็ได้เดินทางกลับไปยังบ้านเกิดของตัวเอง ซึ่งท่านมหาเสนาบดีก็ได้ชวนเพื่อนๆ ในกลุ่มของท่านไปเที่ยวงานเทศกาลฉลองประจำปีซึ่งจัดขึ้นที่เมืองเกิดของท่านซึ่งงานเทศกาลประจำปี ถือว่าเป็นงานใหญ่ที่ชาวเมืองทั้งหลายต่างก็ตั้งหน้าตั้งตารอคอย และอยากที่จะไปร่วมงานด้วยกันทุกคน ไม่ใช่เพียงเท่านั้น ในช่วงที่มีการจัดงานประจำปี ชาวเมืองทั้งหลายต่างก็พร้อมใจกันประดับประดาตกแต่งบ้านเรือนของตัวเองด้วยช่อดอกไม้หลากสีหลากสันกันอย่างสวยสดงดงามประเพณีการละเล่นที่ถือว่าเป็นสีสันที่โดดเด่นที่สุดของงานนี้ ก็คือประเพณีการแย่งชิงดอกไม้มงคลเพื่อนำไปประดับไว้ที่หน้าบ้านของตัวเองสำหรับภาพรวมของงานเทศกาลฉลองประจำปีของเมือง ซึ่งเป็นบ้านเกิดของท่านมหาเสนาบดี นั้น ก็จะมีการจัดการแสดงที่น่าสนใจในรูปแบบต่างๆ อย่างมากมาย เช่น ขบวนแห่ดอกไม้ เป็นต้น นอกจากนั้น ชาวเมืองทั้งหลายก็จะนำเอาอาหารและขนมนมเนยมาออกร้านกันอย่างคึกคัก และในบางครั้ง ก็จะมีกลุ่มผู้ใหญ่ใจดีได้นำเอาขนมมาแจกให้กับพวกเด็กๆ ที่มาจากทั้งในเมืองและนอกเมืองกันอย่างเบิกบานและสนุกสนานอีกด้วยและที่สำคัญ ประเพณีการละเล่นที่ถือว่าเป็นสีสันที่โดดเด่นที่สุดของงานนี้ ก็คือ ประเพณีการแย่งชิงดอกไม้มงคลเพื่อนำไปประดับไว้ที่หน้าบ้านของตัวเอง ซึ่งถ้าหากใครสามารถครอบครองดอกไม้มงคลนี้ได้แล้ว บุคคลนั้นก็จะถือว่า เป็น พระเอก ประจำปีเลยทีเดียวท่านมหาเสนาบดีก็ได้เหลือบไปเห็นเด็กๆ สองกลุ่มซึ่งยืนอยู่ห่างจากกลุ่มของท่านไม่ไกลนัก กำลังยืนปะทะคารมแบบประจันหน้าและทำท่าเหมือนจะมีเรื่องกันและในขณะที่ท่านมหาเสนาบดีกำลังพากลุ่มเพื่อนๆ ของท่าน เดินเที่ยวชมภายในงานเทศกาลฉลองประจำปีของเมืองกันอย่างสนุกสนานที่บริเวณลานกลางเมืองอยู่นั้น ทันใดนั้นเอง ท่านก็ได้เหลือบไปเห็นเด็กๆ สองกลุ่มซึ่งยืนอยู่ห่างจากกลุ่มของท่านไม่ไกลนัก กำลังยืนปะทะคารมแบบประจันหน้าและทำท่าเหมือนจะมีเรื่องกันกำลังทะเลาะกันในเรื่องหวานๆ หรือพูดง่ายๆ ว่ากำลังแย่งขนมหวานกันอยู่นั่นเองเมื่อท่านมหาเสนาบดีได้ฟังการปะทะคารมแบบ 1 ก้อนอิฐมา 2 ก้อนอิฐไปของพวกเด็กทั้งสองฝ่ายแล้ว ท่านก็พอจะจับใจความได้ว่า เด็กๆ ทั้งสองกลุ่ม ซึ่งกลุ่มหนึ่งเป็นเด็กเจ้าถิ่นที่อยู่ในเมือง ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งเป็นเด็กที่อยู่ชานเมือง กำลังทะเลาะกันในเรื่องหวานๆ หรือพูดง่ายๆ ว่ากำลังแย่งขนมหวานกันอยู่นั่นเองแต่สถานการณ์ในขณะนั้นกลับไม่หวานดังขนม และอยู่ในขั้นที่ขม เรียกได้ว่าเครื่องร้อนเต็มที่จนพร้อมที่จะตะลุยหรือแลกหมัดกันได้ทุกเมื่อมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งซึ่งแต่งตัวธรรมดาๆ แต่ลักษณะท่าทางหล่อเหลาสง่างามราวกับเทพบุตรจำแลง ได้เดินผ่าเข้าไปอยู่กลางวงระหว่างกลุ่มเด็กทั้งสองกลุ่มเมื่อท่านมหาเสนาบดีและกลุ่มเพื่อนๆ ของท่านเห็นว่า เหตุการณ์ชักไม่ค่อยจะดีและดูท่าทางจะบานปลาย ท่านและกลุ่มเพื่อนๆ ของท่านจึงได้เดินเข้าไปหาเด็กๆ ทั้งสองกลุ่ม เพื่อที่จะช่วยยุติความรุนแรงที่กำลังจะเกิดขึ้นแต่ก่อนที่กลุ่มของท่านมหาเสนาบดีจะเดินไปถึง ทันใดนั้น ก็ปรากฏว่า มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งซึ่งแต่งตัวธรรมดาๆ แต่ลักษณะท่าทางหล่อเหลาสง่างามราวกับเทพบุตรจำแลง ได้เดินผ่าเข้าไปอยู่กลางวงระหว่างกลุ่มเด็กทั้งสองกลุ่ม ซึ่งในขณะนั้น บรรยากาศค่อนข้างจะครุกรุ่น คือ ถ้าเทียบความโกรธเป็นไฟมหาประลัย ต่างฝ่ายต่างก็พร้อมเผาผลาญฝ่ายตรงข้ามให้แหลกราญเป็นจุลท่านมหาเสนาบดีก็รีบพุ่งปราดเข้าไปเพื่อจะช่วยเหลือทันทีแต่เด็กหนุ่มคนนั้นก็พลันยกมือส่งสัญญาณในทำนองที่ว่า ช้าก่อนและเมื่อท่านมหาเสนาบดีมองเห็นเด็กหนุ่มคนนั้นเพียง ท่านก็จำได้อย่างชัด ว่าเด็กหนุ่มซึ่งดูดีและหล่อคนนั้นคือใครคนหนึ่งที่ท่านรู้จัก เมื่อท่านเห็นดังนั้นแล้ว ท่านก็รีบพุ่งปราดเข้าไปเพื่อจะช่วยเหลือทันที แต่เด็กหนุ่มคนนั้นก็พลันยกมือส่งสัญญาณในทำนองที่ว่า ช้าก่อนเมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านมหาเสนาบดีจึงหยุดชะงัก ในทันที แล้วท่านก็เลี่ยงออกมาดูสถานการณ์อยู่ข้างๆ อย่างห่วงๆเด็กหนุ่มที่ดูเหมือนกับเทพบุตรจำแลงคนนั้นก็ได้เรียกเด็กที่เป็นหัวโจกของทั้งสองฝ่ายให้เข้าไปหาและทันทีที่เด็กหนุ่มที่ดูเหมือนกับเทพบุตรจำแลงคนนั้นเดินเข้าไปกลางวงระหว่างพวกเด็กทั้งสองกลุ่ม พวกเด็กๆ เหล่านั้นก็ถึงกับเกิดอาการ เหมือนดั่งต้องคาถามหาระรวยจากนั้น เด็กหนุ่มที่ดูเหมือนกับเทพบุตรจำแลงคนนั้นก็ได้เรียกเด็กที่เป็นหัวโจกของทั้งสองฝ่ายให้เข้าไปหา ซึ่งก็เป็นเรื่อง น่าอัศจรรย์ใจมาก ที่หัวโจกของทั้งสองฝ่ายเดินเข้าไปหาท่านอย่างว่าง่ายราวกับต้องมนต์สะกดเด็กที่อยู่ชานเมืองก็รีบชิงฟ้องขึ้นก่อนว่า พวกเด็กอีกกลุ่มหนึ่งได้แย่งขนมของพวกตัวเองไปหลังจากนั้น ระบวนการของการสอบสวนก็เริ่มขึ้น โดยเด็กหนุ่มที่ดูเหมือนกับเทพบุตรจำแลงคนนั้นก็ได้ซักถามเรื่องราวความจริงจากพวกเด็กๆ เหล่านั้นด้วยวาจาที่ไพเราะและอ่อนหวานซึ่งฝ่ายเด็กที่อยู่ชานเมืองก็รีบชิงฟ้องขึ้นก่อนว่า พวกเด็กอีกกลุ่มหนึ่งได้แย่งขนมของพวกตัวเองไป เมื่อเด็กที่อยู่ชานเมืองพูดจบลง ด็กหนุ่มที่ดูเหมือนกับเทพบุตรจำแลงคนนั้นก็หันไปถามเด็กเจ้าถิ่นที่อยู่ในเมืองแห่งนี้บ้างว่า ได้แย่งขนมของพวกเด็กอีกกลุ่มหนึ่งมาจริงหรือเปล่าฝ่ายเด็กเจ้าถิ่นที่อยู่ในเมืองแห่งนี้ เมื่อเห็นท่าทางของเด็กหนุ่มคนนั้นแล้วแม้จะดูแต่งตัวเหมือนชาวบ้านธรรมดาทั่วๆ ไป แต่แววตา สีหน้า และท่าทาง กลับมีอำนาจฝ่ายเด็กเจ้าถิ่นที่อยู่ในเมืองแห่งนี้ เมื่อเห็นท่าทางของเด็กหนุ่มคนนั้นแล้ว แม้จะดูแต่งตัวเหมือนชาวบ้านธรรมดาทั่วๆ ไป แต่แววตา สีหน้า และท่าทาง กลับมีอำนาจ ตบะ และเดชะอันน่าเกรงขามแผ่สะกดไปทั่วทั้งบริเวณด้วยเหตุนี้เอง ฝ่ายเด็กเจ้าถิ่นจึงไม่กล้าที่จะโกหก แล้วก็ได้บอกไปตามความเป็นจริงว่า กลุ่มของพวกตน ซึ่งก็คือ กลุ่มเด็กเจ้าถิ่น ได้ไปแย่งขนมของพวกเด็กอีกกลุ่มหนึ่งมาจริงๆ ซึ่งในขณะที่พี่ๆ ชาวบ้านกำลังแจกขนมให้กับพวกตนอยู่นั้น พวกเด็กอีกกลุ่มหนึ่งก็กรูกันเข้ามารับขนมเหมือนกัน พวกตนก็เลยคิดว่า เด็กชานเมืองพวกนี้กำลังแย่งขนมของพวกตัวเองไป พวกตนก็เลยไปแย่งคืนมา แต่ยังไง พวกเด็กอีกกลุ่มหนึ่งก็มาต่อว่าพวกตนก่อนส่วนว่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่น่าตื่นเต้นและน่าติดตามขนาดไหนนั้น เราคงจะต้องอดใจรอรับฟังกันต่อใน ตอนที่ 11
กรณีศึกษากฎแห่งกรรมจากชีวิตจริง (Case study in real life)
บุคคลที่ปรากฏในเรื่องราวต่อไปนี้ มีตัวตนจริงในปัจจุบัน ประสบชะตากรรมขึ้นลงตามกระแสของวัฏฏะและกฎแห่งกรรม (ชมตัวอย่างบทสัมภาษณ์จากรายการชีวิตในสังสารวัฏ) ผู้อ่าน-ผู้ชมก็อย่าเพิ่งเชื่อหรือปฏิเสธในทันที ควรศึกษาหลักธรรมในพระพุทธศาสนา แล้วค่อยนำไปเป็นอุทธาหรณ์ในการดำเนินชีวิตต่อไป
"วิชชาธรรมกาย" เป็นความรู้ดั้งเดิมในพระพุทธศาสนา เมื่อปฏิบัติแล้วสามารถไปรู้ไปเห็นเรื่องราวกฎแห่งกรรม การเวียนว่ายในภพภูมิต่างๆ ตรงตามพระธรรมคำสอนในพระไตรปิฎก วิชชาธรรมกายจึงเป็นหลักฐานยืนยันการตรัสรู้ธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งทันสมัยตลอดกาล (อกาลิโก)
http://goo.gl/jepba