มหาเสนาบดี ผู้ยิ่งใหญ่ ตอนที่ 11
เรียบเรียงจากรายการโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยาฝันในฝัน
หลับตาฝันเป็นตุเป็นตะ ตื่นขึ้นมาหาว 1 ที
แล้วก็นำมาเล่าให้ฟังเป็นนิยายปรัมปรากันนะจ๊ะเพื่อเป็นการยุติกรณีพิพาทของเด็กๆ ทั้งสองฝ่าย เด็กหนุ่ม จึงได้หันมาทางท่านมหาเสนาบดี พร้อมกับบอกให้ท่านมหาเสนาบดีช่วยไปตามพยานปากเอกเมื่อเด็กหนุ่ม ที่ดูเหมือนกับเทพบุตรจำแลง คนนั้น ได้ฟังเรื่องราวความจริงจากเด็กๆ ทั้งสองฝ่ายแล้ว เพื่อเป็นการยุติกรณีพิพาทของเด็กๆ ทั้งสองฝ่าย เด็กหนุ่ม จึงได้หันมาทางท่านมหาเสนาบดี พร้อมกับบอกให้ท่านมหาเสนาบดีช่วยไปตามพยานปากเอกคนสำคัญ ซึ่งก็คือ พี่ๆ ผู้ใหญ่ใจดีที่ทำขนมมาขายและแจกเด็ก ให้มาช่วยเล่าถึงสาเหตุของการทะเลาะวิวาทของเด็กทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งท่านมหาเสนาบดีก็รีบปฏิบัติตามคำสั่งนั้นโดยไม่ลังเลในทันทีซึ่งพี่ ผู้ใหญ่ใจดีก็ได้เล่าให้เด็กหนุ่ม และทุกๆ คนฟังและภายในช่วงไม่กี่อึดใจ พี่ๆ ผู้ใหญ่ใจดีที่ทำขนมมาขายและแจกเด็กก็ได้มายืนอยู่ในวงประชุมแห่งนั้น ซึ่งพี่ๆ ผู้ใหญ่ใจดีก็ได้เล่าให้เด็กหนุ่ม และทุกๆ คนฟังว่า พวกเขาตั้งใจที่จะทำขนมมาขายและแจกให้กับพวกเด็กๆ ซึ่งพวกเขาก็แจกขนมให้กับเด็กๆ ทุกคน โดยไม่ได้เฉพาะเจาะจงว่า เด็กกลุ่มนั้นกลุ่มนี้จะมาจากที่ไหน แต่ที่เด็กๆ สองกลุ่มนี้ทะเลาะกัน ทั้งนี้ก็เป็นเพราะ เมื่อสักครู่ มีเด็กๆ มารับขนมเป็นจำนวนมาก จึงทำให้ พวกเขาทำขนมไม่ทัน เมื่อขนมทำไม่ทัน ก็เลยทำให้แจกไม่ทั่วถึง พอเด็กๆ ได้รับขนมไม่ทั่วถึง ศึกแย่งชิงขนมหวานของเด็กๆ ทั้งสองกลุ่มจึงได้เกิดขึ้นเด็กหนุ่ม จึงได้เรียกหัวหน้าแก๊งของเด็กทั้งสองกลุ่มออกมาแล้วสอนพวกเด็กๆ ทุกคนให้รู้จักการเสียสละและให้อภัยเมื่อเด็กๆ ทั้งสองกลุ่มได้ฟังเรื่องราวจากพี่ๆ ผู้ใหญ่ใจดีที่ทำขนมมาแจกแล้ว สีหน้า, แววตาและท่าทางของพวกเด็กๆ ก็เริ่มเปลี่ยนไป คือ จากเดิมที่หน้าตาของเด็กแต่ละคนจะดูละม้ายคล้ายๆ กับ...ยักษ์ แต่พอมาถึงจุดนี้ หน้าตาของเด็กๆ ทั้งสองกลุ่มก็เริ่มดูดีขึ้น เย็นขึ้น และพร้อมที่จะเข้าใจอะไรมากขึ้นเมื่อเป็นเช่นนี้ เด็กหนุ่ม จึงได้เรียกหัวหน้าแก๊งของเด็กทั้งสองกลุ่มออกมา แล้วสอนพวกเด็กๆ ทุกคนให้รู้จักการเสียสละและให้อภัย ซึ่งเด็กๆ ทุกคนก็ตั้งใจฟังคำแนะนำหรือคำสอนของเด็กหนุ่ม ด้วยความตั้งใจเป็นอย่างดีเด็กๆ ทุกคนจะเดินตามเด็กหนุ่มคนนั้นไปแล้วท่านมหาเสนาบดี ก็ได้เดินตามเด็กหนุ่มคนนั้นไปด้วยเมื่อสถานการณ์ทุกอย่างเริ่มคลี่คลายลงแล้ว เด็กหนุ่ม ก็ได้หันไปบอกกับพี่ๆ ผู้ใหญ่ใจดีที่ทำขนมมาแจกเด็กๆ ด้วยรอยยิ้มและถ้อยคำที่ไพเราะว่า วันนี้ พวกเราจะขออนุญาตนั่งทานขนมแบบเหมาหมดร้านเลย แล้วเด็กหนุ่ม ก็ไม่รอช้าได้พาเด็กๆ ทั้งสองกลุ่มยกโขยงกันไปที่หน้าร้านขนมในทันที ซึ่งพวกเด็กๆ ก็เดินตามต้อยๆ ไปอย่างว่าง่าย และนอกจากเด็กๆ ทุกคนจะเดินตามเด็กหนุ่มคนนั้นไปแล้ว ท่านมหาเสนาบดี ก็ได้เดินตามเด็กหนุ่มคนนั้นไปด้วยบรรยากาศที่เคยขมุกขมัวด้วยความโกรธก็เปลี่ยนเป็นความสนุกสนานเบิกบานและในตอนนั้นเอง บรรยากาศที่เคยขมุกขมัวด้วยความโกรธก็เปลี่ยนเป็นความสนุกสนานเบิกบาน โดยมีเด็กหนุ่ม ซึ่งบัดนี้ ดูเหมือนจะกลายเป็นหัวหน้าแก๊งค์เด็กไปซะแล้ว เป็นศูนย์กลางของบรรยากาศอันชื่นมื่น เด็กๆ ทุกคนเริ่มปรองดองกัน จนกระทั่งกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกันเหมือนกับไม่เคยตั้งมวยกันมาก่อนเมื่อบรรยากาศดีๆ ได้ปกคลุมไปทั่วบริเวณ กลุ่มผู้ใหญ่ใจดีที่ออกร้านอยู่ข้างๆ ต่างก็พากันรู้สึก เบิกบานและเกิดความสนุกสนานของกลุ่มเด็กๆ กลุ่มนี้ด้วย ด้วยเหตุนี้เอง กลุ่มผู้ใหญ่ใจดีเหล่านั้น จึงได้เอาขนมอร่อยๆ ที่พวกเขามีมาแจกสมทบเพิ่มเติม ซึ่งก็ทำให้เด็กๆ ทุกคนต่างก็รู้สึกดีใจกันยกใหญ่ได้รับขนมจากกลุ่มผู้ใหญ่ใจดีที่ออกร้านอยู่ข้างๆ แล้วพวกเด็กๆ ก็ได้ส่งต่อขนมให้แก่กันและกันอย่างมีความสุขสนุกสนานเมื่อพวกเด็กๆ ได้รับขนมจากกลุ่มผู้ใหญ่ใจดีที่ออกร้านอยู่ข้างๆ แล้ว พวกเด็กๆ ก็ได้ส่งต่อขนมให้แก่กันและกันอย่างมีความสุขสนุกสนาน และในช่วงเวลาแห่งการแบ่งปันนี้เอง เด็กๆ ทุกคนก็สัมผัสได้ถึงความประทับใจอันยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้นและเบ่งบานอยู่ในใจดวงน้อยๆ ของพวกเขาว่า การให้กัน-ดีกว่าการแย่งกันตั้งเยอะ ด้วยเหตุนี้เองเด็กๆ ทุกคนจึงเคี้ยวขนมกันตุ้ยๆ อย่างมีความสุขกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา เพราะในขนมที่อร่อยๆ นั้นมีรสแห่งการให้และมิตรภาพผสมอยู่ด้วยนั่นเองและในขณะที่พวกเด็กๆ กำลังทานขนมกันอย่างเอร็ดอร่อยอยู่นั้น เด็กหนุ่มที่มีบุคลิกงดงาม ซึ่งนั่งอยู่กลางวงเด็กๆ ก็จะเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ที่สนุกๆ ให้พวกเด็กๆ ได้หัวเราะกันอย่างเบิกบานและมีความสุขแท้ที่จริงแล้ว เด็กหนุ่มที่มีบุคลิกงดงามราวกับเทพบุตรจำแลงคนนั้นก็คือ พระราชโอรสซึ่งแท้ที่จริงแล้ว เด็กหนุ่มที่มีบุคลิกงดงามราวกับเทพบุตรจำแลงคนนั้นก็คือ พระราชโอรส หรือพระราชาองค์ที่ออกบวช นั่นเองซึ่งจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ ก็ทำให้ท่านมหาเสนาบดีมองพระราชโอรสด้วยความรู้สึกแปลกใจว่าเหตุไฉนในตอนที่พระราชาและพระราชโอรสเสด็จมาชมการฝึกของนักเรียนเตรียมทหารในครั้งนั้น พระราชโอรสจึงทรงทอดพระเนตรการฝึกของเหล่านักเรียนเตรียมทหารที่แลดูตื่นเต้นเร้าใจ ด้วยความรู้สึกที่เรียบเฉยและสงบนิ่งราวกับภูเขาหินที่ไม่หวั่นไหวต่อลมและฝนคำสอนที่พระราชโอรสทรงแนะนำและอบรมให้พวกเด็กๆ ก็ล้วนเป็นสิ่งที่ดีมากๆซึ่งก็ทำให้ท่านมหาเสนาบดีรู้สึกเคารพรัก, ศรัทธาและปลื้มในตัวพระราชโอรสเป็นอย่างมากแต่พอมาตอนนี้ พระราชโอรสทรงดูเหมือนกับเป็นคนละคน คือ พระองค์ไม่ทรงถือพระองค์ เลยแม้แต่นิด แถมยังทรงดูสบายๆ เป็นกันเองและให้ความรู้สึกที่กลมกลืนไปกับเด็กๆ เป็นอย่างมาก ซึ่งก็ทำให้พระองค์กลายเป็นขวัญใจ หรือเป็นที่ดึงดูดให้เด็กๆ อยากที่จะเข้าใกล้ อีกทั้งพระองค์ยังทำให้พวกเด็กๆ ที่กำลังทะเลาะกันจนแทบจะแลกหมัด สามารถเปลี่ยนใจกลับกลายมาปรองดองสามัคคีกันและรักกันเหมือนอย่างกับคนที่รู้จักกันมานานอีกด้วยและที่สำคัญ คำสอนที่พระราชโอรสทรงแนะนำและอบรมให้พวกเด็กๆ รู้จักที่จะแบ่งปันและการเสียสละ ก็ล้วนเป็นสิ่งที่ดีมากๆ ซึ่งก็ทำให้ท่านมหาเสนาบดีรู้สึกเคารพรัก, ศรัทธาและปลื้มในตัวพระราชโอรสเป็นอย่างมากช้าก่อนอย่าเอ็ดไป ตอนนี้พระราชบิดาได้เสด็จมาประทับอยู่ที่เมืองนี้เมื่อมาถึงจุดนี้ ท่านมหาเสนาบดีจึงคิดอยากจะทูลถามคำถามที่ค้างคาใจกับพระราชโอรส ซึ่งช่วงเวลานี้ ก็ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีและเหมาะสมที่สุด ที่จะเคลียคัดชัดเจนกับคำถามที่คาใจนั้นเมื่อท่านมหาเสนาบดีเห็นว่า จังหวะและโอกาสที่ตัวท่านจะทูลถามคำถามมาถึงแล้ว ท่านจึงค่อยๆ เขยิบเข้าไปใกล้ๆ พระราชโอรส พร้อมกับย่อเข่าลงแล้วก็กล่าวคำถามอย่างนอบน้อมว่า ข้าแต่พระอาญาไม่พ้นเกล้า ทำไมพระองค์ และก่อนที่ท่านมหาเสนาบดีจะพูดจบ พระราชโอรสก็ชิงตอบก่อนว่า ช้าก่อนอย่าเอ็ดไป ตอนนี้พระราชบิดาได้เสด็จมาประทับอยู่ที่เมืองนี้ เพื่อมาดูงานเทศกาลฉลองประจำปีและสารทุกข์สุกดิบของไพร่ฟ้าประชาชนเป็นการส่วนพระองค์ซึ่งพระราชโอรสก็ได้กำชับกับท่านมหาเสนาบดีว่า เรื่องนี้ห้ามไปบอกใครส่วนตัวพระองค์เองก็อยากมาเที่ยวชมงานเทศกาลแบบสบายๆ โดยไม่ต้องมีขบวนติดตามแบบเป็นทางการ ดังนั้นพระองค์จึงได้ปลอมตัวเป็นคนธรรมดามาเที่ยวชมงานอย่างที่เห็นอยู่นั่นเอง ซึ่งพระราชโอรสก็ได้กำชับกับท่านมหาเสนาบดีว่า เรื่องนี้ห้ามไปบอกใคร เมื่อท่านมหาเสนาบดีได้ยินเช่นนั้น ท่านก็พยักหน้าอย่างเข้าใจแต่ยังไม่ทันที่ท่านมหาเสนาบดีจะได้ถามคำถามที่ค้างคาใจนั้น งานเทศกาลฉลองประจำปีก็ได้เริ่มขึ้น เมื่อเป็นเช่นนี้..ท่านมหาเสนาบดีจึงต้องชะลอและเก็บคำถามนี้ไว้ก่อนพระราชโอรส ซึ่งบัดนี้ได้กลายเป็นหัวหน้าแก๊งเด็กไปแล้วโดยปริยายแล้วพระราชโอรส ซึ่งบัดนี้ได้กลายเป็นหัวหน้าแก๊งเด็กไปแล้วโดยปริยาย ก็ได้พาพวกเด็กๆ ไปเที่ยวงานเทศกาลในส่วนอื่นๆ ต่อ โดยมีท่านมหาเสนาบดี พร้อมกับเพื่อนๆ ของท่าน ตามไปด้วย แล้วทั้งหมดก็เดินมาถึงบริเวณพิธีที่สำคัญที่สุดในงานเฉลิมฉลองครั้งนี้ นั่นก็คือการชิงช่อดอกไม้ส่วนว่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่น่าตื่นเต้นและน่าติดตามขนาดไหนนั้น เราคงจะต้องอดใจรอรับฟังกันต่อใน ตอนที่ 12
กรณีศึกษากฎแห่งกรรมจากชีวิตจริง (Case study in real life)
บุคคลที่ปรากฏในเรื่องราวต่อไปนี้ มีตัวตนจริงในปัจจุบัน ประสบชะตากรรมขึ้นลงตามกระแสของวัฏฏะและกฎแห่งกรรม (ชมตัวอย่างบทสัมภาษณ์จากรายการชีวิตในสังสารวัฏ) ผู้อ่าน-ผู้ชมก็อย่าเพิ่งเชื่อหรือปฏิเสธในทันที ควรศึกษาหลักธรรมในพระพุทธศาสนา แล้วค่อยนำไปเป็นอุทธาหรณ์ในการดำเนินชีวิตต่อไป
"วิชชาธรรมกาย" เป็นความรู้ดั้งเดิมในพระพุทธศาสนา เมื่อปฏิบัติแล้วสามารถไปรู้ไปเห็นเรื่องราวกฎแห่งกรรม การเวียนว่ายในภพภูมิต่างๆ ตรงตามพระธรรมคำสอนในพระไตรปิฎก วิชชาธรรมกายจึงเป็นหลักฐานยืนยันการตรัสรู้ธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งทันสมัยตลอดกาล (อกาลิโก)
http://goo.gl/2RJFJ