ข้อความต้นฉบับในหน้า
๗๖
71
พระภิกษุอรหันต์ทั้ง ๖๐ รูป ต่างรู้สึกขอบคุณในมหาอุบาสิกายิ่งนัก เพราะหากไม่
ได้อาหารเป็นที่สบายแล้ว การแทงตลอดในมรรคผลย่อมไม่บังเกิดขึ้น จึงตัดสินใจอยู่เป็น
เนื้อนาบุญให้มหาอุบาสิกาและชาวหมู่บ้านที่นั่นจนครบพรรษา ผ่านพ้นวันปวารณาแล้ว
อำลามหาอุบาสิกาแล้ว ก็เดินทางกลับไปเฝ้าพระบรมศาสดาที่วัดเชตวนาราม เมืองสาวัตถี
พระบรมศาสดาตรัสถามสุขทุกข์ของพระภิกษุทั้ง 50 รูปแล้ว ก็ได้รับการกราบทูล
ว่า ความเป็นอยู่ที่วัดป่ามาติกคามมิได้ลำบากด้วยบิณฑบาตแม้แต่วันเดียว ด้วยเพราะได้
อาศัยมหาอุบาสิกาชื่อ มาติกามาตา ผู้เป็นมารดาของหัวหน้าหมู่บ้าน ให้การอุปัฏฐากดูแล
ตลอดทั้งพรรษา ด้วยอำนาจแห่งการหยั่งรู้วาระจิต จึงได้ถวายอาหารเป็นที่สบาย ยังผล
ให้จิตหยุดนิ่งเป็นอารมณ์เดียว บรรลุธรรมาพิสมัยตามรอยบาทของพระพุทธองค์ไปได้สำเร็จ
เมื่อพระภิกษุรูปอื่นได้ทราบข่าวนั้นแล้ว หลังจากเรียนกรรมฐานจากพระบรมศาสดา
แล้ว ก็กราบทูลลาไปบำเพ็ญเพียรที่วัดป่าแห่งนั้น เมื่อไปถึงที่นั่น ภิกษุรูปหนึ่งก็นึกถึง
คำร่ำลือเรื่องการหยั่งรู้วาระจิตของมหาอุบาสิกา จึงคิดในใจว่า “วันนี้เราเหน็ดเหนื่อยกับ
การเดินทางยิ่งนัก หากอุบาสิกานี้ส่งคนมาช่วยกวาดทำความสะอาดวิหารก็จะเป็นการดี”
มหาอุบาสิกาทราบวาระจิตนั้นแล้ว ก็ส่งคนไปทำความสะอาดตามความดำริของภิกษุรูปนั้น
ส่วนพระภิกษุอีกรูปหนึ่งมีความกระหายอยากจะดื่มน้ำ ก็นึกในใจว่า “หากได้น้ำ
ละลายน้ำตาลกรวดก็จะเป็นการดี” มหาอุบาสิกาทราบวาระจิตนั้นแล้ว ก็ได้ส่งให้คนนำน้ำ
นั้นไปให้ เมื่อพระภิกษุรูปนั้นดื่มน้ำแล้ว ก็คิดว่า “ถ้าพรุ่งนี้ได้ฉันข้าวยาคูในตอนเช้าก็จะ
เป็นการดี” พอวันรุ่งขึ้น มหาอุบาสิกาก็ส่งคนให้นำข้าวยาคูไปถวาย หลังจากดื่มข้าวยาคู
แล้ว ก็คิดว่า “หากได้ของขบเคี้ยวก็จะเป็นการดี” มหาอุบาสิการู้วาระจิตนั้นแล้ว ก็ส่งคน
ให้นำของขบเคี้ยวไปถวายอีก ภิกษุรูปนั้นได้ของขบเคี้ยวแล้ว ก็ยังไม่หายสงสัย คิดอีกว่า
“หากโยมอุบาสิกานำโภชนาหารเลิศรสมาถวายด้วยตัวเองก็จะเป็นการดี” มหาอุบาสิกาทราบ
ความประสงค์ของพระภิกษุผู้เป็นเสมือนบุตรของตนนั้นแล้ว ก็สั่งให้บริวารถือโภชนาหาร
ไปยังวิหาร จากนั้นก็ถวายโภชนาหารเลิศรสนั้นด้วยมือของตัวเอง
ภิกษุรูปนั้นขบฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว ก็ยังไม่สิ้นสงสัย จึงสอบถามว่า “มหาอุบาสิกา
ท่านทราบวาระจิตของเราหรือ” มาติกามาตามิได้กล่าวแสดงคุณวิเศษของตนโดยตรง
กลับกล่าวด้วยถ้อยคำถ่อมตนว่า “ธรรมดาผู้คนทั้งหลายที่รู้วาระจิตของผู้อื่น ย่อมทำ
อย่างนั้นได้”
เมื่อภิกษุรูปนั้นได้ยินเช่นนั้น ก็คิดขึ้นว่า “ธรรมดาปุถุชนเช่นเรา ย่อมมีจิตเผลอไผล
คิดถึงอารมณ์อันไม่งามบ้าง หากจิตของเราคิดในเรื่องที่ไม่สมควร อุบาสิกานี้ก็จะล่วงรู้
เราย่อมตกอยู่ในสภาพเหมือนดั่งโจรที่ถูกจับกระชากมวยผมพร้อมด้วยของกลาง เราควร
หนีไปจากที่นี้ดีกว่า” เมื่อคิดเช่นนั้น ก็กล่าวลามหาอุบาสิกาออกจากวัดป่าแห่งนั้นทันที
ภิกษุรูปนั้นเมื่อกลับถึงวัดเชตวนารามแล้ว ก็เข้าไปกราบพระบรมศาสดา ภิกษุ