ข้อความต้นฉบับในหน้า
สวดมนต์ฉบับธรรมทายาทและอุปสมบทหมู่
การณ์อยู่ในใจของเรา อย่าสักแต่ว่าบวชไปอย่างนั้น บวชแล้วต้องมีเป้าหมายโดยเฉพาะใน
ใจลึกๆ จะต้องตั้งใจที่จะเข้าให้ถึงพระธรรมกายให้ได้คิดอย่างนี้ให้ได้ทุกวัน แล้วหมั่นฝึกฝน
อบรมใจของเราไป ให้หยุด ให้นิ่ง ฝึกทุกวัน อย่าได้เว้นเลย แม้แต่วันเดียว
เมื่อใจของเรามีดวงเดียว สิ่งที่จะเข้ามาในใจของเราก็เข้ามาได้ทีละอย่าง เราก็ต้อง
นึกดูว่าจะนำอะไรที่มีคุณค่ามากที่สุดมาไว้ในใจเรา สิ่งที่เหมาะที่สุดก็คือพระรัตนตรัยให้มี
อยู่ในใจเราตลอดเวลา แล้วตั้งใจให้มั่นว่า เราจะบวชอุทิศชีวิต ทิ้งชีวิตไปเลย เป็นนักบวช
ตายในผ้าเหลืองอย่างนี้แหละ ไม่สึกหาลาเพศ ตั้งใจอย่างนี้ให้ได้ตลอด บุญกุศลจะได้เกิด
ขึ้นทุกวันทุกคืน ทั้งแก่ตัวเรา แก่โยมพ่อ โยมแม่ หมู่ญาติ และสาธุชนทั้งหลายที่เขา
สนับสนุนเรามา
77
(๒๕ พฤษภาคม ๒๕๔๑)
การศึกษาสําหรับผู้ครองผ้ากาสาวพัสตร์
ตอนนี้ในวงการพระพุทธศาสนาในประเทศไทยของเรามีสองความคิดที่แตกต่างกันอยู่
ความคิดที่หนึ่ง เขาถือว่านักบวชอย่างลูกเณรนี้ ถือเป็นผู้ด้อยโอกาส คือไปทางโลกไม่ได้
แล้วจึงมาบวช บวชเรียนแล้วก็ลาสิกขาไป แต่หลวงพ่อไม่คิดอย่างนั้น หลวงพ่อคิดว่า ผู้
ที่มาเป็นนักบวชต้องเป็นผู้มีบุญ ไม่ว่าจุดกำเนิดของชีวิตจะเริ่มต้นมาจากตรงไหนระดับไหน
ตั้งแต่สมัยพุทธกาล ผู้ที่จะเข้ามาสู่ร่มเงาของพระพุทธศาสนาก็มาจากทุกระดับเลย
จากจุดกำเนิดชีวิตที่หลากหลาย จากท้องนา มหาเศรษฐี จนถึงพระราชามหากษัตริย์ก็รวม
มาอยู่ในที่เดียวกัน เหมือนน้ำที่ไหลมาจากห้วย หนอง คลอง บึง พอลงไปอยู่ในทะเลก็มีรส
เค็มเป็นอันเดียวกัน เพศนักบวชถือว่าเป็นสุดยอดของผู้มีบุญ และตราบใดที่เรายังอยู่
ในเพศของนักบวช ครองผ้ากาสาวพัสตร์ สิ่งที่ควรจะศึกษามีเพียง ๓ อย่างคือไตรสิกขา
ได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา ไม่ใช่ศาสตร์อย่างอื่นเลย ต้องมาเรียนพระธรรมวินัย และเรียน
เพื่อการพ้นโลก
ถ้าไม่ได้ครองผ้ากาสาวพัสตร์ เราจะไปศึกษาอะไรก็ได้ แต่ถ้าเราครองผ้ากาสาวพัสตร์
ฉันภัตตาหาร บริโภคปัจจัยสี่ที่ญาติโยมเขาเอาชีวิตเป็นเดิมพัน อาบเหงื่อต่างน้ำกว่าจะได้
ปัจจัยสี่มาถวายเราด้วยศรัทธา โดยหวังจะเอาบุญจากเรา แล้วสนับสนุนเราให้ประพฤติ
พรหมจรรย์ ดังนั้นเราต้องศึกษาศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อมุ่งไปสู่อายตนนิพพาน
(๑๔ พฤษภาคม ๒๕๔๑)