ข้อความต้นฉบับในหน้า
ชีวิตของปูสัมฤทธิ์ไม่เคยเกี่ยวข้องกับอบายมุข ปูไม่ดื่มเหล้า
สูบบุหรี่ ชอบอยู่อย่างสันโดษ และไม่ทะเยอทะยานแสวงหา
ทรัพย์สมบัติ
ปูไม่ชอบหากุ้ง หอย ปู ปลาที่มีดกดื่นในหนองน้ำเอามา
ทําอาหาร มักจะบอกว่า “ก็ฉันเห็นมันเป็นบาปนี่นา” ทั้งๆ ที่คน
ที่หากุ้ง หอย ปู ปลา มาเลี้ยงคนในบ้านให้อิ่มหนำสำราญได้ทุก
มื่อเรียกว่า วีรบุรุษของหมู่บ้าน เนื่องจากในชนบทไม่มีตลาดสด
สมัยที่ลูกๆ ยังเล็กอยู่ ปูหาปลา 4-5 ตัวพอกินแต่ละมื้อ และ
ฆ่าสัตว์ปีก เช่นเบ็ดไก่ไว้ทำอาหารบ้าง แต่ไม่ฆ่าสัตว์ใหญ่ พอลูกๆ
4 คนโตขึ้น ปูเลิกฆ่าสัตว์ทำอาหารไปเลย บางคนมองว่าขี้เกียจ
แต่คนที่เข้าใจรู้ว่า ปูขี้เกียจทำบาปมากกว่า
โลกที่ร่าเริงของปูสัมฤทธิ์ คือ การได้นั่งสนทนาธรรมกับ
เพื่อนบ้าน ปู่จะนั่งอยู่ที่ระเบียงบ้านข้างรั้ววันละหลายชั่วโมง
ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสไม่เหมือนตอนอยู่ที่บ้านตัวเอง
ปกติ ปูตักบาตรทุกวัน ไปวัดฟังเทศน์วันพระ ยกเว้นวันที่
ไปสวน เมื่อมีลูกเขยยอดขยันเข้ามาอยู่ในบ้าน ปูจึงมีหน้าที่เลี้ยง
ควาย 2 ตัว หลังเสร็จงานบดอ้อยทำน้ำตาลเพราะสมัยก่อน
ไม่มีเครื่องบดอ้อย บ้านปูทำนาและทำน้ำตาลอ้อยห่อเยื่อ
ต้นกล้วยขายแผ่นละ 1 บาท ขายวันละพันกว่าแผ่น
ควายตัวใหญ่วิ่งเร็ว ทำให้ปูวัย 70 ปี วิ่งตามจนเหนื่อยหอบ
8
case study
บางทีตามไม่ทัน
จนกระทั่งวันหนึ่ง
ปูร้องว่า “กูเบื่อ
แล้ว!"
นับจากวัน
นั้นมา ปูสัมฤทธิ์
เข้าวัดทุกวัน
โดยเฉพาะวัน
อุโบสถ ปูเป็น
โบสถ์วัดกระทมวนาราม จ.สุรินทร์
สร้างด้วยหินลาวาทั้งหลัง
หัวหน้านำชาวบ้านไหว้พระ สวดมนต์เป็นประจำและเริ่มไป
หาพระตามวัดต่างๆ และแยกตัวออกจากบ้านชัดเจน ย่าบ่นจน
นานๆ เข้าจึงเลิกบ่นไปเอง
วันหนึ่ง หลวงพ่อเจีย ขันติโก วัดหนองงิ้ว ปัจจุบัน อยู่ที่
วัดป่าดอนอะรางค์ จังหวัดบุรีรัมย์ มาอุปัฏฐากพระอาจารย์
ของท่าน คือ หลวงพ่อเปลี่ยน โอภาโส วัดกระทมวนาราม ที่
ถูกรถมอเตอร์ไซค์ชนจนเท้าเสีย แล้วหลวงพ่อเจีย ขันติโกให้
ไปส่งท่านกลับบุรีรัมย์ สมัยนั้น ปูยังไม่อยากบวช รีบบอกว่า “อย่า
ให้ผมบวชนะ เดี๋ยวผมตาย” และพูดแต่เรื่องห่วงควายในสวน
พอไปถึงวัดป่าที่บุรีรัมย์ มีการจัดปฏิบัติธรรมกัน หลวงพ่อ
เจีย ขันติโก ให้ปูสัมฤทธิ์ เข้าไปภาวนาเงียบๆ สถานที่แห่งนี้
9
กฎแห่งกรรม