ข้อความต้นฉบับในหน้า
การครองคน-ครองงาน
ไม่ได้เกิดประโยชน์แก่เขามากนัก เพราะเขาเอาตัวรอดเองได้แล้ว ท่าน
อุปมาคนประเภทนี้ว่าเป็นดอกบัวที่พ้นน้ำแล้ว พร้อมจะแย้มกลีบบาน
ในไม่ช้า
พวกที่ ๒ ดอกบัวที่โผล่เสมอผิวน้ำ คือประเภทที่ธาตุในตัว
มีความบริสุทธิ์เพียง ๕๐% คือพวกก้ำกึ่ง ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา
บังเกิด เขาก็จะมีโอกาสรู้จักวิธีกลั่นธาตุในตัวให้บริสุทธิ์ยิ่งขึ้น แล้วเขา
ก็จะรอดตัว ไม่หลงไปทำความชั่ว แต่ว่าถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มา
บังเกิด เขาก็ไม่สามารถกลั่นธาตุ กลั่นขันธ์ให้บริสุทธิ์ขึ้นได้ แล้วก็พลาด
พลั้งทำชั่ว ทำให้ชีวิตตกต่ำ พอสิ้นชีวิตก็ตกนรกไปเลย หรืออย่างน้อย
ที่สุดก็ทำให้ธาตุในตัวสกปรกมากขึ้น คนประเภทนี้เมื่อพระสัมมา
สัมพุทธเจ้ามาบังเกิดจึงได้รับประโยชน์มาก ท่านอุปมาคนประเภทนี้
ว่าเป็นเสมือนดอกบัวที่โผล่เสมอผิวน้ำ
พวกที่ ๓ บัวใต้น้ำ เป็นประเภทที่ธาตุในตัวของเขาสกปรก
มากเกินไป ขันธ์ ๕ ในตัวของเขาก็สกปรกมาก แม้พระสัมมาสัมพุทธ
เจ้าจะมาบังเกิด มาเทศน์ให้ฟังเขาก็ฟังไม่รู้เรื่อง เพราะฉะนั้นพระองค์
จึงต้องปล่อยคนประเภทนี้ไป เนื่องจากไม่สามารถสอนเขาได้ การ
บังเกิดขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เป็นประโยชน์แก่เขาเลย คน
พวกนี้ไม่สามารถเข้าถึงธรรมะในชาตินี้ได้ ท่านอุปมาคนประเภทนี้เป็น
เสมือนบัวใต้น้ำ
คนในโลกเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นก่อนจะสอนใครจึงต้องแบ่ง
คนออกเป็น ๓ พวกก่อนนะ
เหตุการณ์ในสมัยพุทธกาลมีบางครั้ง มีบางคนที่พระสัมมา
สัมพุทธเจ้าต้องข้ามไปไม่ทรงเทศน์โปรด เพราะเป็นคนประเภทที่สอน
ไม่ไหวจริงๆ ก็มีเรื่องเล่า เรื่อง “ยายหอย” เป็นตัวอย่างของคนที่แม้
พระภาวนาวิริยคุณ 52 (เผด็จ ทัตตชีโว)