การตอบแทนบุญคุณในพระพุทธศาสนา การบรรพชาอุปสมบท หน้า 17
หน้าที่ 17 / 34

สรุปเนื้อหา

ในพระพุทธศาสนา พระภิกษุที่ได้รับข้าวปลาอาหารจากญาติโยมต้องตอบแทนด้วยการประพฤติปฏิบัติธรรมและนำความดีไปสอนผู้อื่น เมื่อมีประสบการณ์บิณฑบาตครั้งแรก พบเห็นเด็กยากจนที่มีน้ำใจนำข้าวมาตักบาตร ทำให้เกิดความรู้สึกสำนึกบุญคุณและตั้งใจศึกษาเพื่อให้ความรู้แก่ผู้อื่น จำเป็นต้องสอบถามธรรมะและแบ่งปันสิ่งที่ได้เรียนรู้ เพื่อไม่ให้เป็นหนี้กัลยาณมิตร.

หัวข้อประเด็น

-การตอบแทนญาติโยม
-การปฏิบัติธรรม
-การศึกษาและเรียนรู้
-ประสบการณ์การบิณฑบาต
-ความสำคัญของน้ำใจ

ข้อความต้นฉบับในหน้า

17 ในทางโลก เมื่อใครให้ของ ก็ต้องมีการตอบแทนกันบ้างตามสมควร แต่พระภิกษุบิณฑบาต ได้ข้าวปลาอาหารมาแล้ว จะมีอะไรตอบแทนเขาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงวางเงื่อนไขไว้ว่า เมื่อฉันข้าวปลาอาหารของเขาแล้ว จะต้องประพฤติปฏิบัติ ธรรม อบรมตนให้ดี ถ้าทำไม่ดีก็เท่ากับไม่มีอะไรตอบแทนเขา แต่ถ้าทำตัวดีแล้ว ก็เอาความดีนั้นย้อนมาตอบแทนญาติโยม ด้วยการหาโอกาสสอนธรรมะ แนะแนวทางดำรงชีวิตที่ถูกที่ควรแก่เขา ซึ่งการทำอย่างนั้นได้จำต้องหมั่นศึกษา ค้นคว้า และปฏิบัติธรรมให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไปอีกจริง ๆ แล้ว สิ่งเหล่านี้มีค่ามากกว่าข้าวปลาอาหารที่เขาตักบาตรให้มา คนเราอยู่ด้วยกัน ก็ต้องรู้จักผลัดกันให้ผลัดกันรับ หรือที่เรามักจะพูดแบบฝรั่งกันเสมอว่า "take and give” ไม่ใช่รับเพียงฝ่ายเดียว อาตมากำลัง ทำอยู่นี้ เมื่อกี้ฉันอิ่มแล้ว พวกเราให้ข้าวปลาอาหารแก่อาตมาและพระภิกษุด้วยความเต็มใจ อาตมาก็ตอบแทนให้ยิ่งขึ้นไปอีก คือค้นคว้าหาความรู้มาให้ ความรู้อะไรที่จะส่งเสริมให้พวกเราดีขึ้นคนมาแล้ว ก็ส่งกลับคืนมาให้พวกเรา มานั่งเทศน์อยู่นี่ แหละ นี่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช้วิธีบีบบังคับลูกของท่านโดยทางอ้อมอย่างนี้ ๆ มีประสบการณ์ส่วนตัวอย่างหนึ่งที่ประทับใจอาตมาไม่รู้ลืม คือ อาตมาบวชเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2514 พอถึงวันปีใหม่ที่ 1 มกราคม 2515 ได้ออกบิณฑบาตเป็นวันแรก เนื่องจากตลอดชีวิตไม่เคยขอใครกิน พอออกบิณฑบาต ชักเขิน บอกไม่ถูก เมื่อตามกันไปเป็นแถว ก็ไปกับเขาได้เหมือนกัน วันนั้นโยมคนแรกตักบาตรให้ไม่ได้มองหน้า ยังไม่ได้นึกอะไร มีวินัยสงฆ์อยู่ข้อหนึ่งว่า ห้ามมองหน้าญาติโยมที่ ตักบาตร ไม่ว่าจะเป็นโยมผู้หญิงหรือผู้ชาย ให้มองแต่ในบาตร โยมตกก็ตักไป สังเกตจากข้าวปลาอาหาร โยมคนนี้คงมี ฐานะ ปานกลาง เดินผ่านไปถึงโยมคนที่ 2 สังเกตจากข้าวปลาอาหาร รู้สึกโยมคนนี้ฐานะดีกว่า รับรู้แค่นี้ แล้วก็เดินไป ยังไม่เกิดธรรมะอะไรทั้งสิ้น พอถึงรายที่ 3 เป็นเด็กหญิงคะเนอายุราว 4-5 ขวบ ไม่ใส่เสื้อนุ่งแต่กางเกง ยืนตักบาตรขี้มูกยืด ๆ ป้ายแก้มเปรอะ อาตมาก้มหน้าอยู่ เค้าก็ตัวเตี้ยจึงมองเห็นหมด เด็กตักข้าวใส่บาตรนิดหนึ่ง ตามด้วยใส่ถุงพลาสติกอีกถุงเล็ก ๆ มีขนมห่อ ด้วยใบตองอีกหนึ่งห่อ สังเกตจากอาหาร รูปร่าง เสื้อผ้า ก็บอกได้ว่ามาจากบ้านที่ยากจน นึกสะท้านใจว่า แกยังมี น้ำใจมาตักบาตร รู้สึกใจแล้วเหลือนิดหนึ่ง ตอนที่ยังไม่บวช ไม่ได้สังเกตว่าคนยากคนจนเขามีสภาพอย่างไร ไม่เคยเหลียวแลเด็กพวกนี้เลย พอมาเห็นอย่างนี้ นึกในใจ เด็กคนนี้ใจใหญ่กว่าเรา ตอนก่อนบวชอีก เช้า ๆ อย่างนี้ แทนที่เด็กจะไปวิ่งเล่น ก็อุตส่าห์มายืนรอตักบาตร ถ้าเป็นเราอายุเท่านี้ ไปยืนรอตักบาตรนาน ๆ ไม่แน่อาจจะกินขนมหมด ไม่ได้ตักหรอก คิดแล้ว หลังเย็นเกิดความรู้สึกว่า ข้าวที่จะฉันมือนี้เหมือนบีบออกมาจากปากคอเด็ก ถ้าฉันเข้าไปแล้ว มีเรี่ยวมีแรง ไปคุยฟุ้ง ปล่อยเวลาให้ล่วงเลย หรือไป นอนเล่นเฉย ๆ เราคงจะเป็นหนี้เด็กคนนี้แน่ ๆ กลับมาถึงกุฏิ ฉันเสร็จ ไม่พักแล้ว นั่งสมาธิตัวตั้ง ตั้งใจอบรมตนเอง พอออกจากสมาธิ ก็บังคับตัวเองให้ค้นคว้า ตำรา อย่างน้อยที่สุดไม่ได้ไปสอนเจ้าเด็กคนนั้น ก็นำความรู้ที่ได้ ไปสอนญาติโยมคนอื่น ๆ ต่อไป ถ้าไม่อย่างนั้น ชาตินี้คง จะเป็นหนี้จนตาย
แสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก
Login เพื่อแสดงความคิดเห็น

หน้าหนังสือทั้งหมด

หนังสือที่เกี่ยวข้อง

Load More