ข้อความต้นฉบับในหน้า
17
ในทางโลก เมื่อใครให้ของ ก็ต้องมีการตอบแทนกันบ้างตามสมควร แต่พระภิกษุบิณฑบาต ได้ข้าวปลาอาหารมาแล้ว
จะมีอะไรตอบแทนเขาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงวางเงื่อนไขไว้ว่า เมื่อฉันข้าวปลาอาหารของเขาแล้ว จะต้องประพฤติปฏิบัติ
ธรรม อบรมตนให้ดี ถ้าทำไม่ดีก็เท่ากับไม่มีอะไรตอบแทนเขา แต่ถ้าทำตัวดีแล้ว ก็เอาความดีนั้นย้อนมาตอบแทนญาติโยม
ด้วยการหาโอกาสสอนธรรมะ แนะแนวทางดำรงชีวิตที่ถูกที่ควรแก่เขา ซึ่งการทำอย่างนั้นได้จำต้องหมั่นศึกษา ค้นคว้า
และปฏิบัติธรรมให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไปอีกจริง ๆ แล้ว สิ่งเหล่านี้มีค่ามากกว่าข้าวปลาอาหารที่เขาตักบาตรให้มา คนเราอยู่ด้วยกัน
ก็ต้องรู้จักผลัดกันให้ผลัดกันรับ หรือที่เรามักจะพูดแบบฝรั่งกันเสมอว่า "take and give” ไม่ใช่รับเพียงฝ่ายเดียว อาตมากำลัง
ทำอยู่นี้ เมื่อกี้ฉันอิ่มแล้ว พวกเราให้ข้าวปลาอาหารแก่อาตมาและพระภิกษุด้วยความเต็มใจ อาตมาก็ตอบแทนให้ยิ่งขึ้นไปอีก
คือค้นคว้าหาความรู้มาให้ ความรู้อะไรที่จะส่งเสริมให้พวกเราดีขึ้นคนมาแล้ว ก็ส่งกลับคืนมาให้พวกเรา มานั่งเทศน์อยู่นี่
แหละ นี่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช้วิธีบีบบังคับลูกของท่านโดยทางอ้อมอย่างนี้
ๆ
มีประสบการณ์ส่วนตัวอย่างหนึ่งที่ประทับใจอาตมาไม่รู้ลืม คือ อาตมาบวชเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2514
พอถึงวันปีใหม่ที่ 1 มกราคม 2515 ได้ออกบิณฑบาตเป็นวันแรก เนื่องจากตลอดชีวิตไม่เคยขอใครกิน พอออกบิณฑบาต
ชักเขิน บอกไม่ถูก เมื่อตามกันไปเป็นแถว ก็ไปกับเขาได้เหมือนกัน
วันนั้นโยมคนแรกตักบาตรให้ไม่ได้มองหน้า ยังไม่ได้นึกอะไร มีวินัยสงฆ์อยู่ข้อหนึ่งว่า ห้ามมองหน้าญาติโยมที่
ตักบาตร ไม่ว่าจะเป็นโยมผู้หญิงหรือผู้ชาย ให้มองแต่ในบาตร โยมตกก็ตักไป สังเกตจากข้าวปลาอาหาร โยมคนนี้คงมี
ฐานะ ปานกลาง เดินผ่านไปถึงโยมคนที่ 2 สังเกตจากข้าวปลาอาหาร รู้สึกโยมคนนี้ฐานะดีกว่า รับรู้แค่นี้ แล้วก็เดินไป
ยังไม่เกิดธรรมะอะไรทั้งสิ้น
พอถึงรายที่ 3 เป็นเด็กหญิงคะเนอายุราว 4-5 ขวบ ไม่ใส่เสื้อนุ่งแต่กางเกง ยืนตักบาตรขี้มูกยืด ๆ ป้ายแก้มเปรอะ
อาตมาก้มหน้าอยู่ เค้าก็ตัวเตี้ยจึงมองเห็นหมด เด็กตักข้าวใส่บาตรนิดหนึ่ง ตามด้วยใส่ถุงพลาสติกอีกถุงเล็ก ๆ มีขนมห่อ
ด้วยใบตองอีกหนึ่งห่อ สังเกตจากอาหาร รูปร่าง เสื้อผ้า ก็บอกได้ว่ามาจากบ้านที่ยากจน นึกสะท้านใจว่า แกยังมี
น้ำใจมาตักบาตร รู้สึกใจแล้วเหลือนิดหนึ่ง
ตอนที่ยังไม่บวช ไม่ได้สังเกตว่าคนยากคนจนเขามีสภาพอย่างไร ไม่เคยเหลียวแลเด็กพวกนี้เลย พอมาเห็นอย่างนี้
นึกในใจ เด็กคนนี้ใจใหญ่กว่าเรา ตอนก่อนบวชอีก เช้า ๆ อย่างนี้ แทนที่เด็กจะไปวิ่งเล่น ก็อุตส่าห์มายืนรอตักบาตร
ถ้าเป็นเราอายุเท่านี้ ไปยืนรอตักบาตรนาน ๆ ไม่แน่อาจจะกินขนมหมด ไม่ได้ตักหรอก คิดแล้ว หลังเย็นเกิดความรู้สึกว่า
ข้าวที่จะฉันมือนี้เหมือนบีบออกมาจากปากคอเด็ก ถ้าฉันเข้าไปแล้ว มีเรี่ยวมีแรง ไปคุยฟุ้ง ปล่อยเวลาให้ล่วงเลย หรือไป
นอนเล่นเฉย ๆ เราคงจะเป็นหนี้เด็กคนนี้แน่ ๆ
กลับมาถึงกุฏิ ฉันเสร็จ ไม่พักแล้ว นั่งสมาธิตัวตั้ง ตั้งใจอบรมตนเอง พอออกจากสมาธิ ก็บังคับตัวเองให้ค้นคว้า
ตำรา อย่างน้อยที่สุดไม่ได้ไปสอนเจ้าเด็กคนนั้น ก็นำความรู้ที่ได้ ไปสอนญาติโยมคนอื่น ๆ ต่อไป ถ้าไม่อย่างนั้น ชาตินี้คง
จะเป็นหนี้จนตาย