ข้อความต้นฉบับในหน้า
5
อธิบายความวา
ชีวิตแบบชาวบ้านนั้นคับแคบ ไม่เปิดโอกาสให้ทำความดีได้เต็มที่ ต้องดิ้นรน ปากกัด ตีนถีบ หาเลี้ยงชีวิต บางทีถึงกับ
ตองก่อเวร
บางคนแม้ตั้งใจรักษาศีล แต่ก็ไม่วายมีเหตุการณ์มาบังคับให้ต้องพูดปด เช่น เป็นเลขาหน้าห้อง มีหน้าที่จัดแขกเข้าพบ
ผู้บังคับบัญชา แต่บางวันท่านไม่ต้องการรับแขก จึงสั่งให้บอกคนที่มาขอพบทุกคนว่าไม่อยู่ เลขาฯ ก็จำเป็นต้องพูดปด
ตามที่สั่ง ทั้ง ๆ ที่ไม่อยากจะทำ
แม้ที่สุดอาชีพที่ชาวโลกยกย่องว่าเป็นอาชีพของนักบุญ เช่น อาชีพครู ซึ่งเปรียบเสมือนแพทย์ทางใจ มีหน้าที่ฝึกฝน
อบรมปัญญาทั้งทางโลกและทางธรรมให้แก่ศิษย์ อาชีพแพทย์ซึ่งรักษาความเจ็บป่วยทางกายให้หายมีเรี่ยวแรงทำงานเลี้ยง
ชีวิตได้เป็นปกติต่อไป โดยทั่วไปงานเหล่านี้ถือว่าเป็นการสร้างบุญ แต่ทั้งครูทั้งแพทย์ก็ไม่วายมีจิตใจขุ่นมัว เพราะหน้าที่
การงานผลักดัน ยิ่งประกอบอาชีพอื่นด้วยแล้ว ยิ่งหนีไม่พ้น ต้องก่อเวรอยู่เรื่อย ๆ เช่น อาชีพเกษตร ก็ไม่วายต้องฆ่าสัตว์
ฆ่าแมลง อาชีพทหารก็ไม่วายฆ่าคน อาจจะทางตรงหรือทางอ้อม อาชีพพ่อค้า ก็มักหนีไม่พ้นการพูดปดในหลาย ๆ กรณี
ช่องทางชีวิตของฆราวาสคับแคบเช่นนี้โอกาสรักษาศีลห้าให้ตลอดรอดฝั่งไปได้แต่ละวันจึงแสนยาก โอกาสจะประพฤติ
ธรรม เพื่อหาความสงบภายในก็ยิ่งมีน้อยเต็มที่
แม้จะเห็นคุณค่าของการบวชเต็มเปี่ยมเช่นนี้แล้วก็ตาม การที่คนใดคนหนึ่งจะละทิ้งเหย้าเรือน ครอบครัว ออกบวช
ก็ยังทำไม่ได้ง่าย ๆ ต้องอาศัยกำลังใจที่เข็มแข็ง มีกัลยาณมิตรช่วยประคับประคอง และมีกำลังบุญที่สั่งสมมาดีแล้วคอย
สนับสนุน
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเล่าเหตุการณ์เมื่อครั้งเสด็จออกบรรพชาว่า
"เรานี้เมื่อยังหนุ่ม เกศายังดำสนิท บริบูรณ์ด้วยความหนุ่มที่กำลังเจริญยังอยู่ในปฐมวัย
มารดาบิดาไม่ปรารถนา จะตามใจ พากันร้องไห้ น้ำตานองหน้าอยู่ เรายังปลงผมและหนวด ครองผ้าย้อมฝาด
ออกจากเรือน บวชเป็นผู้ไม่มีเรือนเสียได้"
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพิจารณาเห็นทุกขลักษณะอันไม่แก่นสารเช่นนี้ตั้งแต่ปฐมวัย จึงออกบวช แต่ทุกขลักษณะทั้ง
6 ประการดังกล่าวแล้ว ใช่ว่าใครจะมองเห็นได้โดยง่าย บางคนอายุ 70 ปี เพิ่งได้เห็น บางคนอายุ 20 ปีก็ได้เห็น บางคนอายุ
เพียง 7 ขวบก็เห็นแล้ว ในขณะที่บางคนอย่าว่าแต่เห็นเลย แม้เพียงจะคิด ตลอดชีวิตก็ยังไม่เคย