ข้อความต้นฉบับในหน้า
28
คำว่า "ธรรมวินัย" จึงหมายถึง คำสั่ง คำสอน ในพระไตรปิฎกทั้งหมด ซึ่งมี 2 ลักษณะคือ
1. เป็นกฎเกณฑ์ข้อบังคับ เรียกว่า วินัย ซึ่งต้องทำตามนั้น ถ้าไม่ทำก็เสียหาย
2. เป็นข้อเสนอแนะให้ทำความดีในรูปแบบต่าง ๆ เรียกว่า ธรรมะ ซึ่งใครทำย่อมได้ดี ใครไม่ทำก็ไม่ดีขึ้น
ในพระพุทธศาสนามีพระธรรมวินัยอยู่ 84,000 พระธรรมขันธ์ ซึ่งพระภิกษุจะต้องเรียนทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ
อย่างอาตมากำลังพูดถือว่าเป็น ภาคทฤษฎี ภาษาทางพระเรียกว่า ภาคปริยัติ เรียนแล้วก็ลงมือปฏิบัติ เรียกว่า
ภาคปฏิบัติ
บวชเป็นพระภิกษุทำไม บวชเพื่อลงมือปฏิบัติ พอรู้แล้วว่าอะไรดี ก็ลงมือปฏิบัติ เริ่มตั้งแต่รักษาศีลมาเชียว รู้ภาค
ทฤษฎีว่า ขันติ คือความอดทน เป็นคุณความดี แต่ขณะเป็นฆราวาสยังไม่สามารถทำตามได้ ครั้นบวชเป็นพระแล้วต้องทำ
ให้ได้ พยายามอดทน พยายามงดเว้น รู้ว่าสมาธิต้องทำอย่างนี้ ๆ ก็ทำเลย รู้ว่าแผ่เมตตาดี ก็หัดแผ่เมตตาทันที รู้ว่า
การให้อภัยเป็นสิ่งที่ดี อย่างน้อย ๆ ก็หน้าไม่นิ่วคิ้วไม่ขมวด พอโกรธใครเข้านึกได้ก็รีบให้อภัยเขา
เมื่อตอนที่อาตมายังเป็นนักศึกษา ก็สงสัยว่า เมืองไทยเรามีพระพุทธศาสนาเป็นหลักอย่างดีแล้ว แต่ทำไมจึงเจริญ
แถวยุโรปอเมริกาไม่ได้ แสดงว่าพระพุทธศาสนาไม่ดีหรืออย่างไร จึงเป็นอย่างนี้ ครั้นไปถึงประเทศเขา ก็รู้เลยว่า
พระพุทธศาสนาดีอยู่แล้ว แต่ที่ไม่ดีคือเรา เพราะศีลของคนไทยเมื่อเทียบกับฝรั่งหลาย ๆ ประเทศแล้วโดยเฉลี่ย สู้เขาไม่ได้
ทั้ง ๆ ที่เขาไม่เจอพระพุทธศาสนา ไม่รู้จักศีล แต่เขามีศีลดีกว่าเรา เขาปฏิบัติศีล ส่วนเรารู้จักศีล แต่ไม่ยอมปฏิบัติ
ยกตัวอย่าง ไปบางประเทศ พอขึ้นรถเมล์กับ เล่นเอาเลิ่กลั่ก ไม่มีคนเก็บสตางค์ เขามีกล่องอยู่หน้ารถ พอขึ้นไปก็
หยอดเหรียญ ถ้าเป็นแบงค์ก็ทอนเอง อย่างนี้ถ้าให้เมืองไทยทอนเอง ก็สบายใส่ก็ไม่ใส่ พ่อยกกล่องไปฉิบ ศีลเขาดี
เขาจึงไม่ขโมยกัน ทั้ง ๆ ที่เขาไม่รู้จักพระพุทธศาสนา เพราะฉะนั้นข้าวของต่าง ๆ จึงถูก
ยังจำได้สมัยเด็ก ๆ เข้ากรุงเทพฯ เมื่อปี พ.ศ. 2493 - 2494 รถเมล์บางคันมีแต่คนขับ ไม่มีกระเป๋าเช่นเดียวกับ
บางประเทศ ค่ารถเมล์จึงถูก ต่อมาคนโดยสารขี้โกง ไม่จ่ายค่ารถ ก็ต้องมีกระเป๋าคนหนึ่ง ฉะนั้นค่ารถเมล์ ก็ต้องบวกค่า
กระเป๋าไป 1 คน ต่อมาคนโดยสารยิ่งขี้โกงมากขึ้น ก็ต้องมีกระเป๋า 2 คน บวกขึ้นมาอีกแล้วนะ บวกแล้วจะคิดกับใคร
ก็คิดกับเราน่ะสิ กระเป๋ายังขี้โกงกันเองอีกละ ก็เลยต้องมีนายตรวจอีกคนหนึ่ง ต่อมาทั้งนายตรวจกับกระเป๋าร่วมกันโกงบริษัท
เลยต้องมีซุปเปอร์นายตรวจอีกคนหนึ่ง นี่ แค่ตั๋วรถเมล์ยังโกงกันขนาดนี้ แล้วในบริษัทอีกละ จะต้องมีการตรวจตราซับซ้อนกัน
อีกขนาดไหนก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นเราต้องเสียค่าใช้จ่ายไปโดยเปล่าประโยชน์อย่างนี้ ถ้าซื่อ ๆ ตรง ๆ กัน รถคันหนึ่งมีคนขับ
คนเดียวก็พอ ค่าโดยสารจะถูกกว่านี้อีกเยอะ
1