ข้อความต้นฉบับในหน้า
บนดิน ชาวบ้านได้ยินเสียงสังข์ชอบใจที่จะกันมารุมถามว่าเสียงอะไร เขาตอบว่่าเสียงสังข์นั้น ชาวบ้านก็จับสังข์หาย พร้อมทั้งพูดว่า "สังข์เอ๋ยงปล่งเสียง" แต่สังข์ก็ไม่ปล่งเสียง จึงจับว่ากว่า จับตะแคงกขึ้น เอาหัวลงเอาฝ่ามือ, ก่อนดิน, ท่อนไม้, ศัสตราเคาะ ลงเข้ามุ่งออกไปจับพลิกไปมา เพื่อจะให้ส่งนั้นปล้องเสียง สงั้นนั้นก็ไม่ปล่งเสียง. คนเป่าสังข์เห็นว่า คนเหล่านั้นเป็นคนบ้านนอก เป็นคุญฆาลาหาเสียงสังข์โดยไม่เบาะคาย, จึงยิบสังข์ขึ้นมาข 1 ครั้ง ให้เห็นแล้วก็หลีกไป. คนเหล่านั้นจึงรู้ว่า สงขนี้ประกอบด้วยคน ประกอบด้วยความพยายาม ประกอบด้วยลม จึงเปล่งเสียงได้ ถ้าไม่ประกอบด้วยเหตุเหล่านั้นก็เปล่งเสียงไม่ได้. กายก็เช่นเดียวกัน ประกอบด้วยอายุ ประกอบด้วยไออุ่นประกอบด้วยวิญญาณ จึงก้าวเดินถอยหลัง ยืน นั่ง นอนให้เห็นรูปฟังเสียงคมกลิ่น ลิ้มรสถูกต้องโพธิพระ รัฐธรรม ( อารมณ์ที่เกิดขึ้นใจ) ได้. ถ้าไม่ประกอบด้วยสิ่งเหล่านั้นก็ทออะไรไม่ได้.
๕. ตรัสแย้งต่อไปว่า เคยตรสสังให้ลงโทษโกรที่จับได้โดยให้ตัดผิวหนัง, ตัดหนัง, เนื้อ, เอ็น, กระดูก, เยื่อในกระดูกเพื่อจะดูชิวะ ก็ไม่เห็นชิวะ จึงไม่ทรงเชื่อว่าโลกอันนี้เป็นต้น. พระเจ้าทูลเปรียบเทียบถวายว่า มีชุิติ (นักบวชเกล้าผมเป็นเชิง) ผู้บูชาไฟรูปหนึ่ง อยู่ในภิกฺขุ มงควายไปในป่า พวกเดินทางพึงเมตมชาตบุคะหนึ่ง, ออกเดินทางมาพักเมรบีรอบอาคารของชุิติผู้บูชาไฟนั่น แล้วจากไป. ชุิติจึงเดินไปในที่เขาพู้นเมรด้วยหวังว่าจะได้เครื่องใช้อะไรบ้าง ในที่สุด (ที่เขาทิ้งเต่าอาจเป็นประโยชน์แก่ภิกฺขุผู้อยู่ป่า) เมื่อเข้าไปก็เห็น