ข้อความต้นฉบับในหน้า
-ซากศพที่ขาดเรี่ยราด ฯลฯ ให้พิจารณาเรื่อยไปจนเกิดมรณานุสติ คือ มีสติคิดถึงความตายบ่อย ๆ
และคิดในแง่มุมที่ถูกต้อง จะทำให้เกิดความพากเพียร ไม่ท้อแท้
พระสิทธัตถะกุมารทรงได้รับความสะดวกสบาย ได้รับการบำรุงบำเรอทุกรูปแบบ อย่างครบเครื่องเท่าที่มนุษย์
ทั้งหลายจะพึงมี พึ่งได้และเรียกกันว่าความสุข ตั้งแต่ทรงพระเยาว์จนเจริญพระชนม์พรรษา แต่สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถจะ
มัดใจ ไม่สามารถจะมอมเมาพระองค์ได้เลย ใจของพระองค์ดิ้นรนอยู่ตลอดเวลา เหมือนปลาที่ถูกนำมาเลี้ยงไว้บนบก
คุณธรรม และการปฏิบัติธรรมที่ได้อบรมข้ามภพ ข้ามชาติคุ้นกันมานาน คอยเตือนพระองค์อยู่ลึก ๆ ตลอดเวลา
พระองค์จึงไม่มัวเมา ในความเป็นหนุ่มเป็นสาว ไม่มัวเมาในความไม่มีโรค ไม่มัวเมาในความที่ยังไม่ตาย
พระองค์มีพร้อมทุกอย่าง แต่กลับตรึกนึกถึงธรรมะ สมบูรณ์ด้วยสติ ด้วยพระปัญญาธิคุณ อันยิ่งใหญ่ที่สามารถ
เตือนพระองค์เองตลอดเวลา
นี่แหละคือความวิเศษสุด ความยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้า แม้ไม่มีผู้ใดสอน ก็สามารถสอนพระองค์เองได้
สามารถเอาชนะใจของพระองค์เองได้สละโลก
เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงไตร่ตรองถึงสภาวะการเกิด แก่ เจ็บ ตายของมนุษย์ทั้งหลายแล้ว
ปัญญาก็เกิดขึ้นทรงพิจารณาต่อไปอีกว่า
ภิกษุทั้งหลาย ครั้งก่อนแต่การตรัสรู้ เมื่อเรายังไม่ได้ตรัสรู้ ยังเป็นโพธิสัตว์อยู่
-ตนเองมีความเกิดเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ก็ยังมัวหลงแสวงหาสิ่งที่มีความเกิดเป็นธรรมอยู่นั้นเอง
-ตนเองมีความแก่เป็นธรรมดาอยู่แล้ว
ก็ยังมัวหลงแสวงหาสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาอยู่นั้นเอง
-ตนเองมีความเจ็บไข้เป็นธรรมอยู่แล้ว ก็ยังมัวแสวงหาสิ่งที่มีความเจ็บไข้เป็นธรรมดาอยู่นั้นเอง
-ตนเองมีความโศกเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ก็ยังมัวแสวงหาสิ่งที่มีความโศกเป็นธรรมดาอยู่นั้นเอง
-ตนเองมีความเศร้าหมองโดยรอบด้านเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ก็ยังมัวหลงแสวงหาสิ่งที่มี ความเศร้าหมอง
โดยรอบด้านเป็นธรรมดาอยู่นั้นเอง
ที่ท่านตรัสดังนี้ หมายความว่าอย่างไร
19