ข้อความต้นฉบับในหน้า
"ภิกษุทั้งหลาย เรานั้นโดยสมัยอื่นอีก ยังหนุ่มมากทีเดียว เกสายังดำจัด บริบูรณ์ด้วยความหนุ่มที่กำลังเจริญ
ยังอยู่ในปฐมวัย เมื่อบิดามารดาไม่ปรารถนาด้วย กำลังทรงก็ร้องไห้น้ำตานองอยู่ เราได้ปลงผมและหนวด ครอง
ผ้าย้อมฝาด ออกจากเรือน บวชเป็นผู้ไม่มีเรือน ในสมัยนั้น เรามีอายุได้สามสิบหย่อนหนึ่งโดยวัย เราได้ออกบรรพชา
แสวงหาว่าอะไรเป็นกุศล อะไรไม่เป็นกุศล"
สรุปได้ว่า ท่านได้พิจารณาเห็นความทุกข์ ความเดือนร้อน ความไม่แน่นอนในโลก ถึงออกบวช เพื่อหาทางพ้น
ทุกข์จริง ๆ ตามพระอัธยาศัยที่ได้อบรมข้ามภพ ข้ามชาติ สะสมบารมีมาแล้วนานถึง 20 อสงไขยกับแสนกัป
ๆ
ท่านไม่ได้บวชเพราะสิ้นไร้ไม้ตอก ไม่ได้หนีหนี้ใคร ไม่ใช่ทำมาหากินก็สู้เขาไม่ได้ ไปทำไร่ก็หมดเนื้อหมดตัว
ไม่ใช่นะ พวกเรานั่นแหละ เหยื่อของโลก แหม....ยังเที่ยวไม่อิ่มเลย จะให้บวชแล้ว แหม...ยังไม่ได้เที่ยวรอบโลกเลย
แหม...เพิ่งเป็นนายกได้ครั้งเดียว ก็มีเรื่องมีเหตุเรื่อย ๆ ไปละ
แต่พระองค์ท่านได้สมบัติทางโลก อย่างเพียบพร้อมบริบูรณ์ กลับไม่มัวเมากับโลกียสุข เพราะเห็นว่าไม่มีสาระ
จึงทรงสละความสุขทางโลกออกบวช เพื่อแสวงหาธรรมะ แสวงหาสิ่งที่เที่ยงแท้แน่นอน เป็นที่ยึดที่พึ่งสูงสุดของชีวิต
แสวงธรรมะ
ในการแสวงธรรมของพระองค์ ได้มีการทดลองตั้งแต่ฝึกสมาธิโดยทั่วไป ซึ่งมีมาก่อนพุทธกาลแล้ว แห่งแรกคือ
ฝึกสมาธิกับอาฬารดาบส ได้ไปศึกษาอยู่ไม่นาน ก็รู้เท่าอาจารย์ อาฬารดาบสได้กล่าวว่า "เป็นลาภของเราแล้ว
ท่านผู้มีอายุ เราได้ดีแล้ว ท่านผู้มีอายุ มิเสียแรงที่ได้พบเห็นเหมือนร่วมพรหมจรรย์เช่นเดียวกับท่าน
เรารู้ธรรมะใด
ท่านก็รู้ธรรมะนั้น
ท่านรู้ธรรมะใด
เราก็รู้ธรรมะนั้น
เราเป็นเชนใด ท่านก็เป็นเช่นนั้น
ทานเบ็นเชนใด เราก็เป็นเช่นนั้น
มาเกิดท่านผู้มีอายุ เราสองคนด้วยกัน จักช่วยกันปกครองศิษย์คณะนี้ต่อไป"
เห็นไหม เรียนพักเดียว อาจารย์ยอมรับว่า รู้เท่ากันแล้ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราในครั้งนั้น เรียนก็เก่ง
ทันอาจารย์ อาจารย์ก็น่ารัก ใจดีด้วย ไม่กลัวลูกศิษย์ดังกว่าตัว กลับชวนให้มาช่วยกันปกครองหมู่คณะต่อไป
ฟังประโยคนี้แล้วชื่นใจ
ฉะนั้นเมื่อพระองค์ตรัสรู้แล้ว คนแรกที่พระองค์คิดแทนพระคุณก็คือ อาฬารดาบส แต่ว่าน่าเสียดาย
อาฬารดาบสได้ตายไปก่อนหน้า 7 วันเท่านั้นเอง น่าเสียดายจริง ๆ
21