ข้อความต้นฉบับในหน้า
26
"ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ส่วนสัตว์เหล่านี้หนอ ประกอบกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยเจ้า
ประกอบการงานด้วยอำนาจสัมมาทิฏฐิ เบื้องหน้าแตกตายไปนี้ ย่อมพากันเข้าสู่สุคติโลกสวรรค์"
เพราะฉะนั้นถ้าใครบอกว่า สวรรค์ไม่มีก็อย่าเชื่อนะ เพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราทรงยืนยันว่า มีจริง
เป็นที่ไปของคนทำความดี หลังจากสิ้นชีวิตแล้ว หลายท่านที่นั่งในที่นี้ ก็เคยเห็นว่าสวรรค์เป็นอย่างไร เทวดาเป็นอย่างไร
มาแล้ว สิ่งที่เรามองไม่เห็น ไม่ได้หมายความว่า สิ่งนั้นไม่มีนะ มี แต่เรามองไม่เห็นต่างหาก ลองพิจารณาว่า
เมื่อก่อนนี้ยังไม่มีกล้องจุลทรรศน์ ใคร ๆ ก็ไม่รู้ ไม่เชื่อว่า มีเชื้อโรค ในพระไตรปิฎก พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทรงพูดถึงเรื่องเชื้อโรคต่าง ๆ เอาไว้มาก แต่ท่านไม่ได้เรียก "เชื้อโรค" ท่านเรียกว่า "พยาธิ" พยาธิที่กินฟัน กินผม
กินตา กินส่วนต่าง ๆ ที่อยู่ในร่างกาย ทำให้ร่างกายเสื่อมโทรมไป ทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ
เรื่องพยาธินี้ทรงอธิบายว่า มีขนาดต่าง ๆ กันตั้งแต่ตัวโตมองเห็นได้จนเล็ก ๆ มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
ฟังแล้วไม่ค่อยเชื่อกัน จนกระทั่งเกิดกล้องจุลทรรศน์ขึ้น จึงยอมรับว่ามี แล้วก็ตรงกับที่พระองค์ตรัสไว้ทุกอย่าง เห็นไหม!
สิ่งที่ตาเรามองไม่เห็นนั้น ไม่ใช่ว่าไม่มี เมื่อก่อนนี้ก็ไม่เชื่อกันว่าดวงดาวเป็นโลกอีกโลกที่ต่างออกไปจากโลกที่เราอยู่
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า มีจักรวาลอยู่นับไม่ถ้วน เป็นอนันต์จักรวาล มีลักษณะคล้ายจักรวาลที่เราอยู่นี้
ก็ไม่มีใครเชื่อ แต่เดี๋ยวนี้หลักฐานทาง ดาราศาสตร์ยืนยันแล้วว่ามีจริง ๆ แต่ต้องอาศัยกล้องดูดาว เดี๋ยวนี้ก็เริ่มเห็นหมู่
ดาวอะไร ๆ ต่ออะไรมากขึ้นแล้วใช่ไหม
อาสวักขยญาณ
เมื่อพระองค์ได้รู้ ได้เห็นมีวิชชาเกิดขึ้น แสงสว่างปรากฏชัดขึ้น เช่นเดียวกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ
พระองค์ก็อาศัยธรรมกายพิจารณาธรรมละเอียดขึ้น ปราณีตขึ้นตามลำดับ "เรานั้นเข้าถึงวิชชาที่ 3 แล้ว จิตตั้งมั่น
มีความบริสุทธิ์ผ่องใส ปราศจากกิเลสเป็นธรรมชาติ จิตอ่อนโยนควรแก่การงาน ถึงความไม่หวั่นไหวตั้งอยู่เช่นนี้แล้ว
ก็น้อมจิตไปเฉพาะต่ออาสวักขยญาณ...."
ฟังให้ดีนะ เวลาทำความดีใจเราเป็นดวงใส ใสอย่างแก้ว อย่างเพชร เมื่อทำความดีครั้งหนึ่ง ใจก็สว่างวูบขึ้นที่หนึ่ง
ดวงสว่างนั้นนะจะเรียกว่า "ดวงบุญ” ก็ได้ ความสว่างหรือบุญที่สะสมไว้มากเข้า ๆ ก็กลั่นเป็นดวงใสยิ่งขึ้นเรียกว่า
"บารมี" ในด้านตรงกันข้าม พอทำความชั่ว ใจก็มืดวูบลงความชั่วนั้นเรียกว่า "บาป" เกิดจากกิเลส"
กิเลส คือโลภโกรธหลง กิเลสที่ห่อหุ้มใจอยู่ชักนำให้เราทำความชั่วทางกายวาจา พอเราทำความชั่วได้ผลเป็นบาป
ใจที่มีปกติสว่างก็มืดวูบลง บาปนี้สะสมมากเข้า ๆ เรียกว่า "อาสวะ" ตรงกันข้ามบุญที่สะสมมากเข้า ๆ เรียกว่า "บารมี"